ปัญหาสิวอักเสบรักษาได้ไม่ยาก สาเหตุเกิดจากอะไร รักษาอย่างไร
หนึ่งในประเภทของสิวที่หลายคนได้ยินแล้วต่างก็ต้องกลัว นั่นก็คือ “สิวอักเสบ” สิวตัวร้ายที่ทำลายผิวหน้าของเรา ถึงแม้รักษาหายแล้วก็ยังทิ้งรอยสิว หลุมสิวไว้ให้ช้ำใจอีก จริงๆ แล้วสิวอักเสบนั้นเกิดมาจากหลายสาเหตุด้วยกัน หลายคนที่เคยรักษาสิวอักเสบแล้วไม่หายสักที อาจเป็นเพราะว่าไม่ได้มีการจัดการตั้งแต่ต้นตอของสาเหตุ ซึ่งในวันนี้ เราจะพาไปดูสาเหตุของการเกิดสิวอุดตัน พร้อมแนะนำวิธีการรักษาสิวอย่างตรงจุด รับรองว่าแก้ได้ไม่ยาก
สิวอักเสบ (Inflammatory Acne) คืออะไร
สิวอักเสบ (Inflammatory acne) เป็นสิวที่เกิดจากการอุดตัน ที่มีแบคทีเรีย Propionibacterium acnes (P.acnes) สะสมอยู่ภายในสิว ซึ่งแบคทีเรียชนิดนี้ถือเป็นสาเหตุสำคัญในการเกิดสิวอักเสบโดยตรง เนื่องจากมีการดึงดูดเม็ดเลือดขาวเข้าสู่สิวและกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ อีกทั้ง P.acnes ยังมีเอนไซม์ที่เข้าไปย่อยน้ำมันในตุ่มสิว ทำให้การอักเสบนั้นทวีคูณเพิ่มขึ้นไปอีกด้วย
สาเหตุของการเกิดสิวอักเสบ
สาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวอักเสบ มีดังนี้
- เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การรับประทานอาหารทอด ของมัน อาหารที่น้ำตาลและไขมันสูง ความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ เป็นต้น
- เกิดจากพันธุกรรม ซึ่งถ้าหากคนในครอบครัวมีสภาพผิวที่แพ้ง่าย หรือหน้ามัน เป็นสิว ก็ส่งผลให้ลูกหลานเกิดสิวอักเสบได้เช่นเดียวกัน
- เกิดจากสภาพแวดล้อม สภาพอากาศ ความร้อน ฝุ่น ควัน มลพิษ และสิ่งสกปรกต่างๆ ที่เข้าไปอุดตันในผิว จนทำให้เกิดสิวอักเสบขึ้น
- เกิดจากการหลั่งฮอร์โมนที่ไม่สมดุล โดยเฉพาะฮอร์โมนเพศชาย ซึ่งมีส่วนในการกระตุ้นในเกิดการอักเสบภายในร่างกายได้
- เกิดจากการใช้ยาบางชนิด เช่น Vitamin B6 Vitamin B12 หรือ Anabolic Steroids ซึ่งมีส่วนทำให้บริเวณที่เป็นสิวอุดตันอยู่แล้วเกิดการระคายเคืองได้
- เกิดจากการบีบสิว หากเผลอไปบีบ แคะ แกะสิวอุดตันอย่างรุนแรง ก็จะทำให้เกิดแผล และเป็นสิวอักเสบตามมาได้
สิวอักเสบมักเกิดขึ้นบริเวณไหนได้บ้าง
โดยปกติแล้ว สิวอักเสบนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ทุกบริเวณของร่างกาย เนื่องมาจากต่อมไขมันที่ก่อให้เกิดการอักเสบของสิวนั้นมีอยู่แทบทุกอวัยวะ แต่บริเวณที่สามารถพบสิวอักเสบได้มากที่สุด ได้แก่
สิวที่คาง
คาง เป็นจุดที่สามารถเกิดสิวได้มากกว่าส่วนอื่นๆ บนใบหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันที่เราทุกคนต้องสวมแมสก์ตลอดเวลา ยิ่งทำให้ผิวเกิดการเสียดสีบ่อย ก็จะยิ่งทำให้เกิดสิวอุดตันและสิวอักเสบได้ง่ายกว่าบริเวณอื่น
สิวที่หน้าผาก
หน้าผาก เป็นจุดที่เกิดสิวได้บ่อยไม่แพ้บริเวณคางเลย เพราะเป็นจุดที่ต้องสัมผัสเหงื่อตลอด อีกทั้งยังถูกกระตุ้นจากเส้นผมที่สัมผัสโดนบ่อยๆ จึงสามารถเกิดได้ทั้งสิวอักเสบ สิวอุดตัน หรือแม้แต่สิวผด
สิวที่แก้ม
บริเวณแก้ม เป็นจุดที่มือของเราจะสัมผัสบ่อยมาก อีกทั้งช่วงนี้ยังต้องสวมแมสก์อยู่บ่อยๆ จึงทำให้เกิดการสะสมของแบคทีเรียได้มากกว่าเดิม โดยส่วนมากแล้วบริเวณแก้มนั้นมักจะเกิดสิวอุดตันได้ง่าย แต่ถ้าหากไม่มีการกดสิวอย่างถูกวิธี ก็จะทำให้เกิดสิวอักเสบตามมาได้
สิวที่หลัง
สิวที่หลัง เป็นจุดที่พบสิวได้บ่อยมากไม่แพ้ผิวหน้าเลย ซึ่งเกิดมาจากความอับชื้น ทั้งเหงื่อไคล สิ่งสกปรกต่างๆ อีกทั้งยังมีการเสียดสีจากเสื้อผ้าบ่อย จึงทำให้เกิดสิวที่หลังได้ง่าย อีกทั้งหลังยังเป็นบริเวณที่เรามองเห็นยาก การจะรักษาด้วยตนเองก็ไม่ง่ายเลย เมื่อปล่อยทิ้งไว้ก็จะทำให้เกิดสิวอักเสบตามมาได้
สิวอักเสบมีกี่ชนิด มีสิวอะไรบ้าง
รู้หรือไม่ว่าสิวอักเสบนั้นไม่ได้มีเพียงแค่ประเภทเดียว แต่ยังสามารถแบ่งออกได้ย่อยๆ อีก 5 ประเภทด้วยกัน อีกทั้งยังมีวิธีการรักษาที่ต่างกันออกไปอีกด้วย เพราะฉะนั้นแล้ว ก่อนที่เราจะไปดูวิธีการรักษาสิว มาดูกันก่อนเลยว่า สิวอักเสบทั้ง 5 ประเภทนี้จะมีลักษณะอย่างไรบ้าง
สิวหัวหนอง
สิวหัวหนอง จะมีลักษณะเป็นหัวสีขาวหรือสีเหลืองอ่อนๆ ซึ่งเป็นสีของหนองที่บรรจุอยู่ภายในตุ่มสิว มีขนาดเล็ก มีระดับความรุนแรงปานกลาง เพราะมักจะมีอาการปวดร่วมด้วยเมื่อเกิดสิวอักเสบชนิดนี้
สิวมีตุ่มนูนแดง
สิวมีตุ่มนูนแดง เป็นเม็ดสิวที่มีขนาดเล็ก โดยทั่วไปแล้วจะไม่เกิน 1 เซนติเมตร มีระดับความรุนแรงน้อยกว่าสิวหัวหนอง โดยสิวมีตุ่มนูนแดงนี้จะมีลักษณะตามชื่อ คือ เป็นตุ่มนูนๆ สีแดง สามารถเกิดขึ้นพร้อมกับผื่นแพ้ได้ มีทั้งแบบมีหัวและไม่มีหัว
สิวอักเสบเป็นก้อน
สิวอักเสบเป็นก้อน คือสิวที่เกิดจากการสะสมของหนองและเลือดที่มีขนาดใหญ่ เมื่อสัมผัสโดนแล้วจะรู้สึกเจ็บและปวด รอบๆ จะมีสีแดงที่เกิดจากการอักเสบอย่างรุนแรง สิวอักเสบชนิดนี้ หากกดออกก็จะทำให้ทิ้งรอยสิวได้ง่าย
สิวหัวช้าง
สิวหัวช้าง จัดอยู่ในประเภทของสิวอักเสบชนิดรุนแรง เพราะมีลักษณะเป็นตุ่มสิวขนาดใหญ่ เป็นไตแข็ง ที่เกิดจากการปะปนกันของหนองและเลือด จึงทำให้มีความนูนใหญ่ เป็นตุ่มสีแดงเพราะเกิดจากการอักเสบอย่างรุนแรง เวลารักษาจะต้องมีการรับประทานยาแก้อักเสบร่วมด้วย เพราะสิวอักเสบชนิดนี้จะปวดมาก
สิวซีสต์
สิวซีสต์ เป็นอีกหนึ่งประเภทของสิวอักเสบชนิดรุนแรง อีกทั้งยังมีระดับความรุนแรงมากกว่าสิวหัวช้าง เพราะทำลายไปถึงชั้นหนังแท้ มีทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ มีลักษณะเป็นตุ่มแข็งๆ เป็นไต มีหนองอยู่ภายในก้อนสิว ต้องรักษาด้วยวิธีการฉีดสิวจึงจะสามารถทำให้สิวซีสต์หายไปได้
สิวอักเสบมีความรุนแรงแค่ไหน
เมื่อพูดถึงระดับความรุนแรงของสิวอักเสบ สามารถจำแนกออกได้เป็น 3 ระดับ ได้แก่
- ระดับที่ 1 – สิวอักเสบที่ไม่รุนแรง สิวมีขนาดเล็ก มีปริมาณน้อย
- ระดับที่ 2 – สิวอักเสบระดับปานกลาง เป็นก้อนแข็งขนาดเล็ก จะมีสิวโดยรอบไม่เกิน 10 จุด แต่อาจจะมีสิวหนองร่วมด้วย
- ระดับที่ 3 – สิวอักเสบระดับรุนแรง เป็นสิวเกิดจากสิวอุดตันที่สะสมมานาน มีลักษณะเป็นก้อนแข็งขนาดใหญ่และมีความเจ็บปวดร่วมด้วย อีกทั้งยังทิ้งรอยช้ำหรือรอยดำหลังการรักษาได้ง่าย
วิธีรักษาสิวอักเสบ และวิธีป้องกัน
สิวอักเสบ ถึงแม้ว่าจะเป็นปัญหาผิวที่ใครๆ ก็ไม่อยากเจอ แต่ถ้าหากเกิดขึ้นแล้ว ก็จะต้องมีการรักษาอย่างถูกวิธีและมีวิธีป้องกันอย่างถูกต้อง เบื้องต้นแล้ว การรักษาสิวอักเสบนั้นสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้
การรักษาสิวตามขั้นตอน กดสิว ฉีดสิว ทำเลเซอร์
ปัจจุบัน แนวทางการรักษาสิวอักเสบที่เห็นผลไวและมีประสิทธิภาพที่สุด ก็คงจะเป็นการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์และการทำหัตถการต่างๆ ในการรักษาสิวอักเสบนั้นจะต้องมีการทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยเริ่มต้นตั้งแต่การรักษาสิว เช่น การกดสิว ฉีดสิว จากนั้นจึงค่อยรักษารอยสิวและหลุมสิว ด้วยการทำเลเซอร์ หรือทำทรีตเมนต์ เป็นต้น
การทายารักษาสิวอักเสบ
การใช้ยารักษาสิวอักเสบ ได้แก่ เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (benzoyl peroxide), กรดซาลิไซลิก (salicylic acid), ยาปฏิชีวนะเฉพาะที่, หรือเรตินอยด์ แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนทายารักษาสิว ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ผิวหนังเสียก่อน เพื่อความปลอดภัยของผิว และเพื่อไม่ให้ได้รับผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย
การทำเลเซอร์ฆ่าเชื้อสิว
การทำเลเซอร์ฆ่าเชื้อสิว เป็นยิงแสง หรือฉายแสงเลเซอร์เข้าไปในชั้นผิวหนัง เพื่อช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ลดการผลิตความมันส่วนเกิน ลดการอักเสบของต่อมไขมัน ลดการเกิดสิวอักเสบ อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิวและกระตุ้นระบบไหลเวียนของเลือด ทำให้ผิวเรียบเนียนและสุขภาพดีมากยิ่งขึ้น
การฉีดยารักษาสิว
การฉีดยารักษาสิวอักเสบ เป็นวิธีที่จะช่วยให้สิวเกิดการยุบตัวได้ไวขึ้น โดยส่วนมากจะนิยมใช้ยาไตรแอมซิโนโลน (Triamcinolone) ในการฉีด ซึ่งเป็นยาสเตียรอยด์ประเภทหนึ่ง ใช้สำหรับการรักษาสิวอักเสบโดยเฉพาะ หลังฉีดจะเห็นได้เลยว่าสิวมีการยุบตัวลงและยังช่วยลดอาการปวดได้อีกด้วย
หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า
งดการบีบ แคะ แกะ เกา บริเวณที่เกิดสิว ไม่ควรสัมผัสหน้าบ่อย เพราะจะทำให้สิ่งสกปรกต่างๆ เข้าสู่สิวได้ อีกทั้งหากผิวมีการเสียดสีบ่อยๆ ก็จะยิ่งทำให้สิวเห่อและเพิ่มขึ้นได้
หมั่นทำความสะอาดใบหน้า
ทำความสะอาดผิวหน้าอย่างสม่ำเสมอ ล้างหน้าวันละสองครั้ง ด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยน ไม่ทำให้ผิวแห้งหรือระคายเคือง และหลีกเลี่ยงการใช้น้ำอุ่นในการล้างหน้า
การพักผ่อนให้เพียงพอ
ให้ความสำคัญกับการนอนมากขึ้น โดยควรใช้เวลานอนอย่างน้อย 8 ชั่วโมง เพื่อทำให้ร่างกายได้ซ่อมแซมตัวเองอย่างเต็มที่ เมื่อร่างกายทำงานได้ดีขึ้น ระบบต่างๆ ก็จะทำงานได้อย่างปกติ ช่วยลดการเกิดปัญหาผิวต่างๆ อย่างสิวอักเสบหรือสิวอุดตันได้ดี
การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
รับประทานให้ครบ 5 หมู่ เพื่อให้สารอาหารได้เข้าไปปรับสมดุลผิวให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญ ควรรับประทานอาหารเสริมที่มีส่วนช่วยในการลดสิว อย่างอาหารที่อุดมไปด้วยสังกะสี (Zinc) เช่น เมล็ดทานตะวัน ไข่ แซลมอน อะโวคาโด ซึ่งมีฤทธิ์ในการยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ลดความมันบนใบหน้า และยังลดการอักเสบของสิวได้อีกด้วย
ทำความสะอาดเครื่องนอนเป็นประจำ
รักษาความสะอาดของสิ่งที่สัมผัสใบหน้าเป็นประจำ เปลี่ยนปลอกหมอน ผ้าเช็ดหน้า ผ้าปูที่นอน และของใช้อื่นๆ ที่สัมผัสผิวหน้าอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันการสะสมของแบคทีเรีย
การใช้ตัวยาในการรักษาสิวอักเสบ
การทายารักษาสิว ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีการรักษาสิวอักเสบที่รวดเร็วและเห็นผลลัพธ์ได้ดี สามารถหาซื้อง่ายตามร้านขายยา หากใช้อย่างต่อเนื่องก็จะช่วยทำให้สิวลดลงได้ โดยปกติแล้วการรักษาสิวอักเสบด้วยตัวยา จะมีทั้งแบบรับประทาน และแบบทาลงบนสิว โดยมีอยู่ด้วยกันหลายแบบ ได้แก่
- ยารักษาสิวอักเสบแบบรับประทาน
ยารักษาสิวอักเสบแบบรับประทาน ได้แก่ ด็อกซีไซคลิน (Doxycycline), ไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin) หรือมิโนไซคลิน (Minocycline) ใช้ในกรณีที่สิวมีการอักเสบอย่างรุนแรง เพราะมีฤทธิ์ในการกดการทำงานของต่อมไขมันที่ผลิตไขมัน ช่วยทำลายแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว จึงทำให้สิวอักเสบลดลงได้
- ยารักษาสิวอักเสบแบบทาลงบนสิว
ยารักษาสิวอักเสบแบบทาลงบนสิว ได้แก่ คลินดามัยซิน (Clindamycin), เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl peroxide หรือ BPO), เรตินอยด์ (Topical retinoids) และ กรดอะซีลาอิก (Azelaic acid) ที่ช่วยลดการอักเสบและฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ลดความมันส่วนเกินบนใบหน้าที่เป็นสาเหตุของสิวอักเสบ
วิธีดูแลผิวหน้ายังไงเมื่อเกิดสิวอักเสบ
สาเหตุของการเกิดสิวอักเสบได้นั้น ส่วนหนึ่งก็มาจากการที่ผิวมีความอ่อนแอ ผิวแพ้ง่าย เพราะฉะนั้น การสร้างเกราะป้องกันให้กับผิว ทำให้ผิวแข็งแรงจึงสำคัญมากที่สุดในการป้องกันการเกิดสิวอักเสบ ซึ่งสามารถทำได้ง่ายๆ ดังนี้
- เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่มีความอ่อนโยน ที่สำคัญ จะต้องเลือกครีมบำรุงที่เหมาะกับสภาพผิวของเรามากที่สุด
- เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวเป็นประจำด้วยมอยเจอร์ไรซ์เซอร์ หรือใช้น้ำมันทีทรีออยล์เพื่อปลอบประโลมผิว
- หากมีอาการปวด สามารถใช้การประคบเย็นเพื่อลดอาการปวดและบวม รวมถึงดื่มชาเขียวร้อน เพื่อช่วยลดการอักเสบของผิวควบคู่กันไปได้
สามารถกดหรือบีบสิวอักเสบเองได้หรือไม่
เมื่อเกิดสิวอักเสบ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมากที่สุดคือ การกด บีบ หรือแกะสิวด้วยตนเอง เพราะถ้าหากมีการกดสิวแบบผิดวิธี ก็จะยิ่งทำให้สิวเกิดการอักเสบอย่างรุนแรงมากขึ้น อาจมีเลือดออก และสิวเห่อเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังทิ้งรอยช้ำและรอยหลุมสิวได้มากกว่าเดิมอีกด้วย แนะนำว่าให้เข้ารับการรักษาจากแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านผิวหนังจะดีที่สุด
การรักษาสิวอักเสบใช้เวลานานแค่ไหน สิวอักเสบจะหายได้เองไหม
โดยทั่วไปแล้ว สิวอักเสบสามารถลดลงและหายไปได้เอง โดยจะใช้เวลาอยู่ที่ประมาณ 4-6 สัปดาห์ เพื่อรอให้ผิวได้ซ่อมแซมตัวเอง ซึ่งจะใช้เวลานานมากกว่าสิวประเภทอื่นๆ เพราะเป็นสิวที่มีความรุนแรง อีกทั้งยังทิ้งรอยไว้อีกด้วย แต่ถ้าหากมีการรักษาอย่างถูกวิธีและรักษาได้เร็ว ก็จะทำให้สิวอักเสบลดลง และหายไปได้ไวมากขึ้น ทั้งสิวและรอยสิว
ข้อสรุป
จะเห็นได้เลยว่าสิวอักเสบ มีอยู่ด้วยกันหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทก็มีระดับความรุนแรงที่ต่างกันออกไป ดังนั้น หากต้องการรักษาสิวอักเสบด้วยตนเอง จะต้องทำความเข้าใจกับประเภทของสิวให้ดีเสียก่อน เพราะถ้าหากแค่ทายารักษาสิวเพียงอย่างเดียว ก็อาจจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ จึงต้องมีเทคโนโลยีทางการแพทย์เข้ามาเสริม เพื่อช่วยให้การรักษาสิวอักเสบนั้นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ