กระเนื้อ ติ่งเนื้อ เสี่ยงเบาหวาน

กระเนื้อ ติ่งเนื้อ มีความเสี่ยงเกิดจากเบาหวานหรือไม่?

Contents hide

ตุ่มเนื้อเล็กๆ ที่โผล่ขึ้นมาตามคอ ใต้รักแร้ หรือข้อพับต่างๆ บางครั้งก็ดูคล้ายๆ ไฝนูนๆ หรือเหมือนจะเป็นกระเนื้อ หลายคนอาจไม่คิดอะไรมากเพราะมันไม่ได้เจ็บหรือคันอะไร แต่รู้ไหมว่าติ่งเนื้อหรือกระเนื้อเหล่านี้อาจกำลังส่งสัญญาณบางอย่างจากภายในร่างกายเราอยู่ก็ได้ โดยเฉพาะถ้าคุณหรือคนใกล้ตัวมีภาวะเบาหวานหรือภาวะดื้ออินซูลินอยู่แล้ว ยิ่งควรใส่ใจเป็นพิเศษเลย

แล้วกระเนื้อหรือติ่งเนื้อกับเบาหวานเกี่ยวข้องกันจริงไหม? เป็นแค่ความบังเอิญ หรือเป็นหนึ่งในผลข้างเคียงที่ควรจับตาดู? มาหาคำตอบกันในบทความนี้กันค่ะ


 กระเนื้อและติ่งเนื้อคืออะไร?

ถ้าคุณเคยเจอก้อนเนื้อเล็กๆ สีน้ำตาลหรือสีเนื้อ ที่อยู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาตามผิวแบบไม่รู้ตัว อย่าเพิ่งตกใจ เพราะหลายคนก็เคยเจอเหมือนกันค่ะ สิ่งเหล่านี้อาจเป็น “กระเนื้อ” หรือ “ติ่งเนื้อ” ซึ่งเป็นภาวะทางผิวหนังที่พบได้บ่อย แม้จะไม่ได้อันตรายร้ายแรงแต่ก็อาจรบกวนใจได้ไม่น้อย โดยเฉพาะถ้าเกิดขึ้นในจุดที่มองเห็นชัดหรือรู้สึกไม่สบายตัว เช่น ติ่งเนื้อที่คอ เรามาทำความรู้จักกับทั้งสองอย่างนี้ให้มากขึ้นกันค่ะ ว่าจริงๆ แล้วมันคืออะไร ต่างกันยังไง และเกิดจากอะไรได้บ้าง

 กระเนื้อ (Seborrheic Keratosis)

กระเนื้อ (Seborrheic Keratosis) คือก้อนเนื้อผิวหนังที่มักมีลักษณะนูนขึ้นมาเล็กน้อย สีออกน้ำตาล เทา หรือดำ ผิวด้านบนอาจดูแห้ง ขรุขระ หรือเหมือนมีขี้ผึ้งเคลือบอยู่ บางคนอาจเข้าใจผิดว่าเป็นไฝหรือขี้แมลงวัน แต่จริงๆ แล้วมันคือการเติบโตของเซลล์ผิวหนังที่ไม่ใช่เนื้อร้าย

สาเหตุของกระเนื้อยังไม่แน่ชัดแบบ 100% แต่มีแนวโน้มเกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์และอายุที่มากขึ้น คนที่มีพ่อแม่หรือญาติพี่น้องเป็นกระเนื้อมักมีโอกาสเป็นมากกว่าคนทั่วไป นอกจากนี้ ยังพบได้บ่อยในวัยกลางคนขึ้นไป และในบางกรณีแสงแดดก็อาจเป็นตัวกระตุ้นด้วยเช่นกัน

 ติ่งเนื้อ (Skin Tags)

ติ่งเนื้อ (Skin Tags) เป็นตุ่มเล็กๆ ที่ยื่นออกจากผิวหนัง ลักษณะนุ่ม สีใกล้เคียงกับสีผิว หรืออาจคล้ำกว่านิดหน่อย มักพบในบริเวณที่มีการเสียดสีบ่อย เช่น ติ่งเนื้อที่คอ ใต้รักแร้ ขาหนีบ หรือแม้แต่เปลือกตา ข้อดีคือมันไม่เจ็บ ไม่คัน และไม่กลายเป็นเนื้อร้าย

สาเหตุของติ่งเนื้อจะเกี่ยวข้องกับแรงเสียดสีของผิวหนัง เช่น บริเวณที่เสื้อผ้าถูกัน หรือผิวหนังพับติดกันบ่อยๆ นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อมโยงกับภาวะน้ำหนักเกินหรือภาวะดื้ออินซูลิน ซึ่งสัมพันธ์กับโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้เช่นกัน

ใครที่มีโอกาสเกิดติ่งเนื้อ กระเนื้อ มากกว่าคนทั่วไป

แม้กระเนื้อและติ่งเนื้อจะไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่หลายคนก็คงไม่อยากให้เจ้าก้อนเล็กๆ เหล่านี้มาเยือนผิวของเราแบบไม่ทันตั้งตัว การรู้ว่ากลุ่มไหนเสี่ยงมากกว่าปกติจะช่วยให้เราระวังและดูแลตัวเองได้ดีขึ้น บางอย่างเราเปลี่ยนไม่ได้ เช่น อายุหรือพันธุกรรม แต่บางอย่างก็ปรับได้ เช่น พฤติกรรมหรือไลฟ์สไตล์ มาดูกันค่ะว่าใครบ้างที่มีแนวโน้มจะเจอกับกระเนื้อหรือติ่งเนื้อมากกว่าคนอื่น

 ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดติ่งเนื้อ

  • คนที่มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน : ติ่งเนื้อมักเกิดในจุดที่ผิวหนังเสียดสีกัน เช่น ติ่งเนื้อที่คอ ขาหนีบ ใต้รักแร้ ซึ่งจะยิ่งเกิดได้ง่ายในคนที่มีน้ำหนักตัวมาก
  • ผู้ที่มีภาวะดื้อต่ออินซูลิน หรือเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 : มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ชี้ว่า คนที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหรือตอบสนองต่ออินซูลินผิดปกติ จะมีโอกาสเกิดติ่งเนื้อได้มากกว่าคนทั่วไป เพราะฮอร์โมนในร่างกายอาจกระตุ้นการเติบโตของผิวหนัง
  • ผู้ที่อายุ 30 ปีขึ้นไป : ถึงแม้ติ่งเนื้อจะเกิดได้ในทุกวัย แต่พบได้บ่อยในวัยผู้ใหญ่ตอนต้นขึ้นไป โดยเฉพาะช่วงอายุ 30-60 ปี
  • คนในครอบครัวเคยเป็น : พันธุกรรมก็มีส่วนค่ะ ถ้าพ่อแม่หรือพี่น้องมีติ่งเนื้อ ตัวเราก็อาจมีแนวโน้มเช่นกัน

 ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดกระเนื้อ

  • อายุที่เพิ่มขึ้น : กระเนื้อเป็นภาวะที่มักมากับวัย ยิ่งอายุมาก โอกาสเกิดกระเนื้อก็จะมากขึ้น โดยเฉพาะในคนอายุ 50 ปีขึ้นไป
  • พันธุกรรม : ถ้ามีคนในครอบครัวเป็นกระเนื้อ ก็มักจะมีโอกาสเป็นเช่นกัน แบบที่ว่าสามารถถ่ายทอดผ่านกันทางสายเลือดได้เลย
  • ผิวหนังโดนแดดมาก : แสงแดดอาจเป็นตัวกระตุ้นให้กระเนื้อปรากฏขึ้น โดยเฉพาะในคนที่ต้องทำงานกลางแจ้งหรือชอบกิจกรรมกลางแจ้งแบบไม่มีการทาครีมกันแดดเลย
  • ผิวแห้งและเปราะบาง : บางคนที่มีสภาพผิวแห้งมากอาจสังเกตเห็นกระเนื้อได้ชัดขึ้น และในบางกรณีผิวหนังที่เสื่อมสภาพจากการเสียดสีหรือขาดการดูแล ก็อาจมีผลต่อการเกิดกระเนื้อได้เช่นกัน

ภาวะดื้ออินซูลินคืออะไร และใครมีความเสี่ยง?

ภาวะดื้ออินซูลินเป็นจุดเริ่มต้นที่หลายคนไม่รู้ตัว แต่มันอาจนำไปสู่โรคเรื้อรังอย่างเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ ดังนั้น มาเข้าใจมันให้มากขึ้นกันสักนิด ก่อนที่ร่างกายจะส่งสัญญาณเตือนแบบที่เราไม่ทันได้ตั้งตัว

 ภาวะดื้ออินซูลิน (Insulin Resistance) คืออะไร?

อินซูลิน (Insulin) คือฮอร์โมนที่มีหน้าที่ช่วยให้ร่างกายนำน้ำตาลในเลือดไปใช้เป็นพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่เมื่อเกิดภาวะดื้ออินซูลิน ร่างกายจะตอบสนองต่ออินซูลินได้น้อยลง ส่งผลให้น้ำตาลยังคงอยู่ในกระแสเลือดในระดับสูง ถึงแม้อินซูลินจะพยายามทำงานเต็มที่แล้วก็ตาม ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นเรื่อยๆ จนเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานในที่สุด

 ใครมีความเสี่ยงต่อภาวะดื้ออินซูลิน?

  • คนที่น้ำหนักเกิน หรือมีไขมันสะสมบริเวณหน้าท้อง เพราะไขมันหน้าท้องมีผลต่อการทำงานของอินซูลินโดยตรง ยิ่งมีมาก โอกาสดื้ออินซูลินก็ยิ่งสูง
  • คนที่ไม่ค่อยขยับตัว หรือไม่ออกกำลังกาย ส่งผลต่อระบบเผาผลาญและเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะดื้ออินซูลินแบบไม่รู้ตัว
  • คนที่รับประทานอาหารรสหวานจัด หรือแป้งขัดขาวเป็นประจำ อาหารพวกนี้ทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งสูงและร่างกายต้องหลั่งอินซูลินออกมาเยอะเกินไป จนเกิดภาวะดื้ออินซูลินในระยะยาว
  • ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ถ้าพ่อแม่หรือพี่น้องเป็นเบาหวาน โอกาสที่เราจะดื้ออินซูลินก็สูงขึ้นโดยอัตโนมัติ
  • ผู้หญิงที่เคยมีภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS) คนกลุ่มนี้มีความสัมพันธ์กับภาวะดื้ออินซูลินเช่นกัน โดยเฉพาะถ้าเคยมีรอบเดือนมาไม่ปกติหรือมีปัญหาเรื่องฮอร์โมน

ความเกี่ยวข้องระหว่างกระเนื้อ ติ่งเนื้อ และเบาหวาน

บางครั้งผิวหนังที่เปลี่ยนไป อาจไม่ใช่แค่เรื่องอายุหรือกรรมพันธุ์เท่านั้น แต่อาจกำลังสะท้อนปัญหาสุขภาพภายในอย่าง “ภาวะดื้ออินซูลิน” หรือ “เบาหวาน” ได้ด้วย มาดูกันว่ามันเกี่ยวข้องกันอย่างไรบ้าง

 ติ่งเนื้อกับเบาหวาน

ติ่งเนื้อ (Skin tags) อาจดูเป็นปัญหาเล็กๆ ที่ไม่อันตราย แต่รู้หรือไม่ว่ามีการศึกษาหลายชิ้นพบความเชื่อมโยงระหว่างติ่งเนื้อกับภาวะดื้ออินซูลินและเบาหวานชนิดที่ 2 โดยเฉพาะถ้าคนๆ นั้นมีติ่งเนื้อขึ้นหลายจุด หรือเกิดในตำแหน่งซ้ำๆ อย่างติ่งเนื้อที่คอ รักแร้ หรือใต้หน้าอก

เหตุผลที่ติ่งเนื้อมีความเกี่ยวข้องกับเบาหวานก็เพราะว่า ภาวะดื้ออินซูลินสามารถกระตุ้นให้เซลล์ผิวหนังเติบโตผิดปกติได้ง่ายขึ้น จนกลายเป็นตุ่มเนื้อเล็กๆ เหล่านี้ ดังนั้น ถ้าคุณสังเกตว่าตัวเองเริ่มมีติ่งเนื้อขึ้นบ่อยขึ้นหรือมากผิดปกติ โดยเฉพาะในช่วงอายุ 30-50 ปี และมีน้ำหนักตัวมากร่วมด้วย อาจถึงเวลาที่ควรเช็กระดับน้ำตาลในเลือดดูสักหน่อยแล้ว

 กระเนื้อกับเบาหวาน

สำหรับกระเนื้อ (Seborrheic Keratosis) ยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่บ่งชี้ชัดว่าเกี่ยวข้องกับเบาหวานโดยตรงเท่าติ่งเนื้อ แต่ก็มีงานวิจัยบางชิ้นที่ตั้งข้อสังเกตว่าคนที่มีเบาหวานหรือระดับน้ำตาลในเลือดสูงอาจมีแนวโน้มเกิดกระเนื้อได้มากขึ้น

โดยเฉพาะถ้ามีอายุเข้าเลข 4 เลข 5 ขึ้นไป แล้วเริ่มสังเกตเห็นจุดสีน้ำตาลเทาๆ หรือก้อนเนื้อเล็กๆ บนหน้า ลำตัว หรือแผ่นหลัง แนะนำว่าอย่ามองข้ามค่ะ เพราะแม้จะไม่ได้อันตรายแต่การตรวจเช็กสุขภาพภายในอย่างน้ำตาลในเลือดหรือค่าการเผาผลาญต่างๆ ก็ช่วยให้เราเข้าใจภาพรวมของร่างกายได้ดีขึ้น


 กระเนื้อและติ่งเนื้อเป็นอันตรายหรือไม่?

หลายคนพอเห็นกระเนื้อหรือติ่งเนื้อขึ้นที่ผิวก็มักจะตกใจ กลัวว่าจะเป็นอะไรที่ร้ายแรง หรืออาจนึกไปถึงโรคผิวหนังชนิดรุนแรงหรือมะเร็ง จริงๆ แล้วติ่งเนื้อและกระเนื้อส่วนใหญ่ไม่ได้อันตรายและไม่ใช่สัญญาณของมะเร็งผิวหนังแต่อย่างใด แต่ก็ใช่ว่าจะมองข้ามได้หมด เพราะในบางกรณีก็มีสิ่งที่ควรสังเกต รวมถึงช่วงเวลาที่ควรไปหาหมอเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งผิดปกติซ่อนอยู่ มาดูกันค่ะว่าอะไรบ้างที่ควรระวัง

 ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

  • เกิดการระคายเคืองจากการเสียดสี

กระเนื้อหรือติ่งเนื้อที่ขึ้นในจุดที่มีการเคลื่อนไหว เช่น ติ่งเนื้อที่คอ ใต้รักแร้ ขาหนีบ หรือบริเวณที่เสื้อผ้ารัดแน่น อาจถูจนเกิดแผล รู้สึกคัน แดง หรือมีเลือดออกได้

  • ติดเชื้อจากการแกะ เกา หรือพยายามตัดออกเอง

หลายคนเห็นติ่งเนื้อหรือกระเนื้อแล้วอยากจัดการเอง ไม่ว่าจะดึง ตัด หรือใช้ของแปลกๆ มาลอง ซึ่งเสี่ยงต่อการติดเชื้อ แผลอักเสบ หรือเกิดแผลเป็นได้ง่ายกว่าที่คิด

  • สร้างความไม่มั่นใจในรูปลักษณ์

แม้จะไม่อันตราย แต่ถ้าขึ้นในจุดที่มองเห็นชัดเจน เช่น บริเวณหน้า คอ หรือแขน ก็อาจทำให้รู้สึกไม่สบายใจเวลาพบปะผู้คนหรือส่งผลต่อความมั่นใจในการแต่งตัว

 ควรพบแพทย์เมื่อใด ?

  • เมื่อกระเนื้อหรือติ่งเนื้อมีการเปลี่ยนแปลงผิดปกติ

เช่น ขนาดโตเร็ว สีเปลี่ยน ดูไม่สม่ำเสมอ ขอบหยัก หรือมีเลือดซึม นี่เป็นสัญญาณที่ไม่ควรมองข้าม และควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยว่าเป็นเนื้อร้ายหรือไม่

  • เมื่อติ่งเนื้อหรือกระเนื้อมีอาการอักเสบ เจ็บ แดง หรือมีหนอง

อาการแบบนี้อาจเกิดจากการติดเชื้อหรือการระคายเคืองรุนแรง ควรรีบให้แพทย์ช่วยดูแล ไม่ควรปล่อยให้ลุกลาม

  • หากมีจำนวนมากขึ้นผิดปกติในเวลารวดเร็ว

เช่น อยู่ดีๆ ขึ้นเต็มคอหรือแขนในเวลาไม่นาน อาจเป็นสัญญาณของความผิดปกติในระบบเผาผลาญ หรือดัชนีสุขภาพอื่นๆ ที่ควรตรวจเพิ่มเติม เช่น น้ำตาลในเลือด หรือภาวะดื้ออินซูลิน

  • ในกรณีที่รู้สึกไม่สบายใจ หรืออยากเอาออกอย่างปลอดภัย

การกำจัดกระเนื้อหรือติ่งเนื้อควรทำโดยแพทย์ผิวหนังเท่านั้น เพื่อให้แน่ใจว่าปลอดภัย ไม่ทิ้งรอยแผล และไม่มีความเสี่ยงอื่นตามมา


 วิธีการดูแลผิวเพื่อลดความเสี่ยง

แม้กระเนื้อและติ่งเนื้อจะไม่ใช่เรื่องอันตรายร้ายแรง แต่การดูแลผิวให้ดีตั้งแต่เนิ่นๆ ก็ช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดความผิดปกติหรือสัญญาณเตือนของปัญหาสุขภาพอื่นๆ ได้เหมือนกัน ลองทำตามเคล็ดลับเหล่านี้ดูนะคะ

  • เลือกผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว หลีกเลี่ยงสบู่หรือโลชั่นที่มีน้ำหอมและแอลกอฮอล์แรงๆ เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคืองและแห้งเกินไป
  • ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพราะความอ้วน โดยเฉพาะไขมันสะสมรอบเอว มีส่วนเกี่ยวข้องกับภาวะดื้ออินซูลิน ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดติ่งเนื้อได้ง่ายขึ้น
  • ทานอาหารที่ช่วยลดน้ำตาลในเลือด เช่น ผักใบเขียว ธัญพืชไม่ขัดสี และอาหารที่มีใยอาหารสูง จะช่วยให้ระดับน้ำตาลและอินซูลินในเลือดสมดุลขึ้น
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด และลดความเสี่ยงของภาวะดื้ออินซูลิน ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวแปรที่เชื่อมโยงกับการเกิดติ่งเนื้อ
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ ผิวจะดูสุขภาพดีจากภายในเมื่อร่างกายได้รับน้ำอย่างเพียงพอ อย่ารอให้รู้สึกกระหายน้ำถึงจะดื่ม
  • หมั่นทำความสะอาดผิว โดยเฉพาะบริเวณข้อพับ เพราะติ่งเนื้อมักเกิดในบริเวณที่มีการเสียดสีสูง เช่น รักแร้ คอ หรือขาหนีบ การรักษาความสะอาดจะช่วยลดการอักเสบและระคายเคือง
  • ทาครีมกันแดดเป็นประจำ ถึงแม้กระเนื้อจะไม่เกี่ยวกับแสงแดดโดยตรง แต่ผิวที่โดนรังสี UV มากๆ ก็มีแนวโน้มจะแสดงสัญญาณความเสื่อมไวขึ้น
  • ตรวจเช็กสุขภาพผิวกับแพทย์ปีละครั้งเพื่อสังเกตความเปลี่ยนแปลงของผิว และประเมินว่ากระเนื้อหรือติ่งเนื้อที่เกิดขึ้นนั้นอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือไม่

 การรักษาและป้องกัน

คงไม่มีใครอยากให้กระเนื้อและติ่งเนื้ออยู่บนผิวไปตลอด โดยเฉพาะถ้าขึ้นในจุดที่มองเห็นชัดหรือสร้างความรำคาญในชีวิตประจำวัน โชคดีที่ทุกวันนี้มีวิธีดูแลและกำจัดออกได้อย่างปลอดภัย แถมยังมีแนวทางในการป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำอีกด้วย มาดูกันว่าทำได้อย่างไรบ้าง

 วิธีการรักษากระเนื้อ

การรักษากระเนื้อปัจจุบันมีหลายวิธี ซึ่งขึ้นอยู่กับลักษณะของกระเนื้อ ขนาด และตำแหน่งที่ขึ้น โดยวิธีที่แพทย์มักใช้มีดังนี้

  • จี้ด้วยความเย็น (Cryotherapy) : ใช้ไนโตรเจนเหลวทำให้เนื้องอกผิวหนังหลุดลอกออกตามธรรมชาติ
  • จี้ไฟฟ้า (Electrocautery) : ใช้ไฟฟ้าจี้เพื่อให้กระเนื้อแห้งและหลุดไป
  • เลเซอร์ : วิธีนี้นิยมมากที่สุด เพราะทำให้ผิวเรียบเนียนหลังการรักษา ไม่ทิ้งรอยแผลเป็น
  • ขูดออก (Curettage) : เป็นการใช้เครื่องมือเฉพาะขูดเนื้อที่นูนออกแล้วปิดแผลอย่างปลอดภัย

 วิธีการรักษาติ่งเนื้อ

สำหรับการรักษาติ่งเนื้อก็มีหลายทางเลือก และโดยทั่วไปก็ไม่จำเป็นต้องรักษา เว้นแต่มันสร้างความรำคาญหรือไม่สบายใจ เช่น ไปเสียดสีกับเสื้อผ้า หรือดูเด่นเกินไปในบางจุด โดยวิธีการรักษามีดังนี้

  • ตัดออกด้วยกรรไกรแพทย์ : เป็นวิธีที่ง่ายและเร็ว ใช้กรรไกรปลอดเชื้อเล็มติ่งเนื้อเล็กๆ ออก
  • จี้ด้วยไฟฟ้าหรือเลเซอร์ : วิธีนี้เหมาะกับติ่งเนื้อหลายจุด หรือติ่งเนื้อที่มีรากลึก
  • จี้เย็นด้วยไนโตรเจนเหลว : คล้ายกับการรักษากระเนื้อ เหมาะกับติ่งเนื้อขนาดเล็ก

 การดูแลและป้องกัน

แม้ว่าจะเอาออกไปแล้ว แต่ถ้าดูแลผิวหรือสุขภาพโดยรวมไม่ดี กระเนื้อและติ่งเนื้อก็มีโอกาสกลับมาได้อีก ลองปรับพฤติกรรมบางอย่างเหล่านี้เพื่อช่วยลดความเสี่ยงได้

  • ดูแลผิวให้ชุ่มชื้นเสมอ ไม่ปล่อยให้ผิวแห้งตึง ซึ่งอาจทำให้เซลล์ผิวผิดปกติได้ง่ายขึ้น
  • ควบคุมน้ำหนักและลดไขมันหน้าท้อง เพื่อช่วยลดภาวะดื้ออินซูลินที่เกี่ยวข้องกับติ่งเนื้อ
  • กินอาหารที่ช่วยลดการอักเสบ เช่น ผักใบเขียว ถั่วต่างๆ และปลาที่มีโอเมก้า 3
  • หลีกเลี่ยงการเสียดสีผิวซ้ำๆ เช่น การใส่เสื้อรัดแน่นเกินไป หรือเสียดสีจากสร้อยคอ/สายเสื้อใน
  • ตรวจสุขภาพเป็นประจำเพื่อเช็กระดับน้ำตาลในเลือด และค่าต่างๆ ที่อาจสัมพันธ์กับสุขภาพผิวโดยรวม

ข้อสรุป

กระเนื้อและติ่งเนื้ออาจดูเหมือนไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร แต่บางครั้งก็เป็นเหมือนสัญญาณเตือนเล็กๆ ที่บอกเราว่าร่างกายกำลังมีบางอย่างเปลี่ยนไป โดยเฉพาะถ้าเกี่ยวข้องกับภาวะดื้ออินซูลินหรือเบาหวาน การใส่ใจในสุขภาพผิวจึงเป็นอีกหนึ่งวิธีดูแลสุขภาพภายในที่เราควรให้ความสำคัญ อีกทั้งเรายังสามารถป้องกัน ดูแล หรือรักษาได้ง่ายๆ ถ้าเริ่มต้นจากการรู้เท่าทันและหมั่นสังเกตตัวเองเสมอ