อาการคันจากรังแค

รังแคเกิดจากอะไร รู้จักและรับมือการรักษาอย่างไรให้ตรงจุด

ถ้าอยู่ดีๆ ก็คันหนังศีรษะ เกาไปเกามาเจอเศษขาวๆ ร่วงลงมาเต็มไหล่ นี่อาจเป็นปัญหารังแคที่หลายคนไม่อยากเจอ เพราะนอกจากจะคันจนสร้างความรำคาญแล้ว ยังส่งผลต่อความมั่นใจของเราอีกด้วย จึงทำให้เห็นเลยว่าปัญหารังแคไม่ใช่แค่เรื่องเล็กๆ อีกต่อไป

แล้วรังแคมันมาจากไหน เกิดจากอะไร แค่เปลี่ยนแชมพูจะช่วยได้จริงไหม หรือมีวิธีดูแลยังไงให้ตรงจุด บทความนี้จะพาทุกคนไปไขข้อสงสัย ตั้งแต่สาเหตุรังแค ลักษณะอาการ ไปจนถึงวิธีรักษารังแคแบบง่ายๆ ที่จะช่วยให้หัวโล่ง โปรยเสน่ห์ได้แบบไร้กังวล

 อาการของรังแค

ปัญหารังแคไม่ได้มีแค่เศษขาวๆ ร่วงหล่นลงมาเท่านั้น จริงๆ แล้วมันมีหลายอาการที่บ่งบอกว่าหนังศีรษะของเรากำลังส่งสัญญาณขอความช่วยเหลืออยู่ ลองเช็กดูสิว่าคุณเคยเจออาการพวกนี้กันบ้างไหม

  • คันหนังศีรษะ  

อยู่ดีๆ ก็รู้สึกคันหนังศีรษะแบบไม่มีสาเหตุ ยิ่งเกาก็ยิ่งคัน บางทีคันจนเผลอเกาแรงไปหน่อย ทำให้หนังศีรษะถลอกหรืออักเสบอีกต่างหาก

  • ขุยขาว ร่วงเหมือนหิมะโปรย

ถ้าสังเกตเห็นสะเก็ดสีขาวหรือเหลืองอ่อนๆ ตกลงมาบนเสื้อ โดยเฉพาะเวลาเสยผมหรือเกาหัวเบาๆ ถือเป็นลักษณะเด่นๆ ของรังแคเลย

  • หนังศีรษะแห้ง ลอกเป็นแผ่นๆ

บางคนมีรังแคเพราะหนังศีรษะแห้งมาก ทำให้เกิดการลอกเป็นแผ่นๆ และรู้สึกตึงๆ เหมือนผิวขาดความชุ่มชื้น

  • แดง อักเสบ แสบหนังศีรษะ

บางคนที่แพ้สารเคมีในผลิตภัณฑ์ดูแลผมหรือมีปัญหาหนังศีรษะอักเสบ อาจสังเกตเห็นรอยแดง หรือรู้สึกแสบๆ ที่หัวเหมือนโดนแดดเผา

  รังแคเกิดจากสาเหตุอะไร?

เคยสงสัยกันไหมว่าทำไมรังแคถึงตามมากวนใจอยู่เรื่อยๆ ล้างผมสะอาดแล้วก็ยังเป็น เปลี่ยนแชมพูมากี่สูตรก็ไม่หายขาด จริงๆ แล้วรังแคเกิดขึ้นได้จากปัจจัยหลายอย่างที่อาจเกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์และสภาพหนังศีรษะของเราด้วย ลองมาดูกันว่าสาเหตุรังแคมีอะไรบ้าง

  • เชื้อรา Malassezia

หนังศีรษะของเรามีจุลินทรีย์อาศัยอยู่ตามธรรมชาติ แต่ถ้าเจ้าเชื้อรา Malassezia เจริญเติบโตมากเกินไป มันจะไปกระตุ้นให้เซลล์หนังศีรษะหลุดลอกเร็วกว่าปกติ กลายเป็นรังแคที่เราเห็นกันนั่นเอง

  • หนังศีรษะแห้ง หรือมันเกินไป

หนังศีรษะแห้ง ขาดความชุ่มชื้น จะทำให้ลอกเป็นแผ่น ส่วนหนังศีรษะมันเกินไป หมายความว่าต่อมไขมันผลิตน้ำมันเยอะ จึงกระตุ้นให้เชื้อราเติบโต ซึ่งทั้งสองแบบนี้ก็สามารถเป็นสาเหตุรังแคได้ทั้งคู่

  • ใช้ผลิตภัณฑ์ไม่ถูกกับหนังศีรษะ

แชมพูที่มีสารเคมีแรงๆ หรือผลิตภัณฑ์แต่งผมที่ล้างออกไม่หมด อาจทำให้หนังศีรษะระคายเคืองและเกิดรังแคได้ โดยเฉพาะคนที่แพ้ง่ายหรือหนังศีรษะบอบบาง

  • สระผมน้อยไป หรือบ่อยเกินไป

คนที่สระผมน้อยไป จะทำให้เหงื่อ น้ำมัน และเซลล์ผิวที่ตายสะสมกันเป็นรังแค ส่วนคนที่สระผมบ่อยเกินไป หนังศีรษะจะสูญเสียน้ำมันธรรมชาติ ทำให้แห้งและลอกเป็นขุย

  • ความเครียดและฮอร์โมนก็มีผล

ความเครียดทำให้ร่างกายผลิตน้ำมันมากขึ้น ซึ่งอาจไปกระตุ้นการเจริญเติบโตของเชื้อราที่ทำให้เกิดรังแค นอกจากนี้ ฮอร์โมนก็มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของหนังศีรษะ เช่น ช่วงวัยรุ่นที่ต่อมไขมันทำงานหนักกว่าปกติ

  • อากาศและมลภาวะ

อากาศหนาวทำให้หนังศีรษะแห้ง ส่วนอากาศร้อนทำให้มันเยิ้มเกินไป แถมฝุ่น ควัน และมลภาวะต่างๆ อาจทำให้หนังศีรษะระคายเคืองจนเกิดรังแคได้ง่ายขึ้น

 การวินิจฉัยรังแค

บางครั้งหลายคนอาจสงสัยว่าปัญหาที่เป็นอยู่คือรังแคหรือโรคผิวหนังอย่างอื่นกันแน่ เพราะอาการของรังแคอาจคล้ายกับปัญหาหนังศีรษะอื่นๆ อย่างเซ็บเดิร์ม (Seborrheic Dermatitis) หรือสะเก็ดเงิน (Psoriasis) ซึ่งในส่วนนี้แพทย์จะทำการวินิจฉัยเพื่อแนะนำการดูแลหนังศีรษะอย่างถูกต้อง โดยมีวิธีแยกดังนี้

  1. ซูมดูอาการใกล้ๆ

แพทย์จะเริ่มจากการสังเกตลักษณะของสะเก็ดที่ร่วงออกมา ถ้าเป็นรังแคธรรมดา มักจะเป็นขุยสีขาวหรือเหลืองอ่อน หลุดลอกเป็นแผ่นเล็กๆ แต่ถ้าเป็นเซ็บเดิร์มขุยอาจจะดูมันเยิ้มกว่า มีรอยแดง และมักจะคันหนักกว่าปกติ

  1. ถามประวัติอย่างละเอียด

หมอจะสอบถามเกี่ยวกับอาการ เช่น 

  • คันหัวหนักมากแค่ไหน? ถ้าคันจนเกาไม่หยุด อาจเป็นเซ็บเดิร์ม
  • เป็นเฉพาะช่วงไหน? ถ้ารังแคมาเป็นพักๆ อาจเกี่ยวกับสภาพอากาศหรือแชมพูที่ใช้
  • มีผื่นแดงร่วมด้วยไหม? ถ้ามีรอยแดงชัด อาจเป็นเซ็บเดิร์มหรือสะเก็ดเงิน
  1. ตรวจหนังศีรษะแบบละเอียด

ในบางกรณี หมออาจใช้ Dermatoscope หรือเครื่องขยายดูผิวหนัง เพื่อดูสภาพหนังศีรษะแบบซูมชัดๆ ถ้าพบว่ามีการอักเสบ ตุ่มแดง หรือเป็นขุยหนาๆ อาจบ่งบอกว่าเป็นเซ็บเดิร์ม หรือโรคผิวหนังอื่นๆ

  1. ทดสอบเพิ่มเติม (ถ้าจำเป็น)

หากอาการดูไม่ชัดเจน หมออาจเก็บตัวอย่างผิวหนัง (Skin Scraping) ไปตรวจหาเชื้อราหรือเชื้อโรคอื่นๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ใช่อาการจากเชื้อราหรือโรคอื่นที่คล้ายกัน

ถ้าเป็นแค่รังแคธรรมดา ก็สามารถดูแลเองได้ด้วยการปรับพฤติกรรมและใช้แชมพูรักษารังแค แต่ถ้าอาการหนัก คันจนทนไม่ไหว หรือมีรอยแดงร่วมด้วย แนะนำให้พบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมต่อไป

 วิธีรักษารังแคอย่างตรงจุด

เมื่อรังแคบุก ก็ถึงเวลาหาวิธีจัดการแบบจริงจัง การรักษารังแคที่ดีที่สุดคือต้องเลือกผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับสภาพหนังศีรษะ และบางคนอาจต้องใช้ยาทาหรือปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพิ่มเติม ลองมาดูกันว่า 3 วิธีรักษารังแคดังต่อไปนี้จะให้ผลลัพธ์อย่างไรบ้าง

 การเลือกแชมพูที่เหมาะสม

แชมพูรักษารังแคคือด่านแรกในการรับมือ โดยปกติแล้วแชมพูรักษารังแคมีให้เลือกด้วยกันหลายสูตร ดังนั้น ต้องเลือกให้ตรงจุดตามสาเหตุรังแคด้วย

  • ถ้ารังแคเกิดจากหนังศีรษะแห้ง ควรเลือกแชมพูที่ให้ความชุ่มชื้น ไม่มีสารซัลเฟตแรงๆ และไม่ทำให้หนังศีรษะแห้งกว่าเดิม เช่น แชมพูสูตรอ่อนโยน หรือมีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์
  • ถ้ารังแคเกิดจากหนังศีรษะมัน ควรเลือกแชมพูรักษารังแคที่ช่วยควบคุมความมัน และลดการสะสมของเชื้อรา เช่น แชมพูที่มีซิงค์ไพริไทโอน (Zinc Pyrithione) หรือเซเลเนียมซัลไฟด์ (Selenium Sulfide)
  • ถ้ารังแคมาจากเชื้อรา (Malassezia) หรือเซ็บเดิร์ม ควรใช้แชมพูที่มีคีโตโคนาโซล (Ketoconazole) หรือ ซาลิไซลิก แอซิด (Salicylic Acid) เพื่อช่วยลดเชื้อราและขจัดเซลล์ผิวที่หลุดลอก

 การรักษาด้วยยาทาเฉพาะที่

ถ้าแชมพูรักษารังแคอย่างเดียวเอาไม่อยู่ อาจต้องใช้ยาทาเฉพาะที่เพื่อช่วยจัดการรังแคแบบตรงจุด ซึ่งมักใช้ในกรณีที่รังแคเกิดจากการอักเสบหรือเชื้อรา

  • ยาทาต้านเชื้อรา – เช่น คีโตโคนาโซล (Ketoconazole) หรือไซโคลไพรกอกซ์ (Ciclopirox) ใช้สำหรับลดการเจริญเติบโตของเชื้อราที่เป็นต้นเหตุของรังแค
  • ยาสเตียรอยด์ชนิดอ่อน – ถ้าหนังศีรษะอักเสบ แดง คันมาก หมออาจแนะนำให้ใช้ครีมหรือโลชั่นที่มีสเตียรอยด์ความเข้มข้นต่ำเพื่อลดการอักเสบ
  • โลชั่นบำรุงหนังศีรษะ – สำหรับคนที่หนังศีรษะแห้งเกินไป การใช้โลชั่นหรือเซรั่มที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น เช่น กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) หรือน้ำมันธรรมชาติ อาจช่วยลดรังแคได้

ยาทาบางชนิดต้องใช้ตามคำแนะนำของแพทย์ และไม่ควรใช้ติดต่อกันนานเกินไป เพราะอาจทำให้หนังศีรษะบางลงหรือดื้อยาได้

 การใช้ผลิตภัณฑ์จากคลินิกเสริมความงาม

ถ้าลองมาหลายวิธีแล้วยังไม่เวิร์ก อาจถึงเวลาปรึกษาคลินิกเสริมความงามหรือแพทย์เฉพาะทางที่เชี่ยวชาญด้านหนังศีรษะ ซึ่งมีตัวช่วยหลายอย่าง เช่น

  • สครับหนังศีรษะ (Scalp Detox Treatment) : ช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ลดการอุดตัน และทำให้หนังศีรษะสะอาดขึ้น
  • เลเซอร์บำบัดหนังศีรษะ (Low-Level Laser Therapy – LLLT) : ใช้แสงเลเซอร์พลังงานต่ำกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและลดการอักเสบของหนังศีรษะ
  • Hair Spa หรือ Treatment พิเศษ : บางคลินิกมีทรีตเมนต์ที่ช่วยคืนความสมดุลให้หนังศีรษะ เช่น การใช้เซรั่มบำรุงเข้มข้น หรือการทำความสะอาดลึกด้วยเทคนิคเฉพาะ  

ก่อนเข้าคลินิก ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนว่าอาการของเราเหมาะแก่การรักษารังแคด้วยวิธีไหน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

วิธีป้องกันการเกิดรังแค

แม้ว่ารังแคอาจจะมาแบบไม่มีสัญญาณเตือน แต่ถ้ารู้วิธีป้องกันรังแคตั้งแต่ต้นก็ช่วยลดโอกาสเกิดซ้ำได้เยอะ ไม่ต้องรอให้ปัญหาบานปลายก่อนแล้วค่อยหาทางแก้ มาเริ่มดูแลหนังศีรษะให้ดีตั้งแต่วันนี้ จะได้มั่นใจแบบไร้ขุยไปยาวๆ

  • เลือกแชมพูให้เหมาะกับตัวเอง โดยใช้เป็นแชมพูรักษารังแคโดยเฉพาะ ลองสังเกตว่าหลังสระผมแล้วหนังศีรษะมีอาการคัน หรือแห้งเกินไปไหม ถ้ามีอาจต้องเปลี่ยนแชมพูให้เหมาะขึ้น
  • สระผมให้ถูกวิธี โดยสระประมาณ 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ อย่าลืมนวดหนังศีรษะเบาๆ ตอนสระผม และล้างแชมพูออกให้หมด เพราะสารตกค้างก็เป็นอีกหนึ่งตัวการทำให้เกิดรังแคได้
  • หลีกเลี่ยงความเครียด ลองทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลาย เช่น ออกกำลังกาย ฟังเพลง นั่งสมาธิ และพักผ่อนให้เพียงพอ แค่ลดความเครียด ก็ช่วยให้รังแคไม่มากวนใจได้ง่ายขึ้นแล้ว
  • กินอาหารที่ช่วยบำรุงหนังศีรษะ เช่น ปลาแซลมอน อะโวคาโด ถั่วต่างๆ ไข่ นม ผักโขม และเนื้อแดง เป็นต้น
  • หลีกเลี่ยงอาหารทอดๆ มันๆ น้ำตาลเยอะๆ เพราะจะไปกระตุ้นการผลิตน้ำมันที่หนังศีรษะ และอาจเพิ่มการเติบโตของเชื้อรา Malassezia ที่เป็นสาเหตุรังแคได้
  • หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ระคายเคือง เช่น เจลแต่งผม สเปรย์ หรือมูสที่มีแอลกอฮอล์ อาจทำให้หนังศีรษะแห้งและระคายเคืองได้

  ข้อสรุป

แม้รังแคจะเป็นปัญหาที่กวนใจเรามาก แต่ถ้าเข้าใจถึงสาเหตุรังแคที่แท้จริง ก็สามารถรับมือและป้องกันได้แบบตรงจุด ไม่ว่าจะเกิดจากหนังศีรษะแห้ง ความมัน เชื้อรา หรือแม้แต่ความเครียด เราสามารถแก้ไขได้ด้วยการเลือกแชมพูรักษารังแคให้เหมาะสม ใช้ยาทาเฉพาะที่ถ้าจำเป็น รวมถึงการดูแลตัวเองจากภายในด้วยอาหารและการใช้ชีวิตที่สมดุล และที่สำคัญ อย่าปล่อยให้รังแคมาทำลายความมั่นใจ ลองปรับพฤติกรรมง่ายๆ ตั้งแต่วันนี้ แล้วกลับมามีหนังศีรษะสุขภาพดีแบบไร้ขุยกันไปยาวๆ