10 วิธีรักษาสิวด้วยตัวเองให้อยู่หมัด ต้องทำสิ่งนี้
หากพูดถึงปัญหาผิวที่พบได้บ่อยที่สุด คงหนีไม่พ้น “ปัญหาสิว” ที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยเฉพาะในช่วงวัยที่ฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลง มีโอกาสที่จะจะเกิดสิวได้มากที่สุด ซึ่งสิวนั้นมีอยู่ด้วยกันหลายประเภท ตั้งแต่เม็ดเล็กๆ ไปจนถึงสิวเรื้อรังที่ก่อให้เกิดการอักเสบอย่างรุนแรง ทำให้หลายคนต้องเสียความมั่นใจจากการเป็นสิวกันไปมากมาย
เชื่อว่าผู้ที่กำลังเผชิญกับปัญหาสิวอยู่ ต่างก็ต้องเคยหาวิธีรักษาหลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการทาครีม ยารักษาสิว หรือทานวิตามิน แต่ก็ไม่สามารถกำจัดสิวออกไปได้อย่างถาวร อีกทั้งหากรักษาผิดวิธี หรือไปใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ถูกกับผิว ก็จะยิ่งทำให้ผิวอักเสบมากกว่าเดิมได้ อีกทั้งยังทำให้หน้าแห้ง หน้าลอกตามมาอีกด้วย ดังนั้น ในบทความนี้เราจึงได้รวบรวม 10 วิธีรักษาสิวด้วยตัวเองให้อยู่หมัด กำจัดสิวเรื้อรังให้หายขาด จะมีวิธีไหนบ้าง ตามมาดูกันเลย
สิว (Acne) คืออะไร
สิว (Acne) เป็นภาวะผิวหนังที่เกิดจากการอักเสบของรูขุมขนและต่อมไขมัน (sebaceous glands) สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งบนใบหน้า คอ หลัง และหน้าอก เมื่อรูขุมขนและต่อมไขมัน ทำงานผิดปกติ ก็จะทำให้รูขุมขนเกิดการอุดตันจนเกิดเป็นตุ่มนูนขึ้น ซึ่งนั่นก็คือ “สิว” นั่นเอง อีกทั้งยังสามารถเกิดการอุดตันได้จากปัจจัยอื่นๆ เช่น เซลล์ผิวเก่า แบคทีเรีย หน้ามัน และสิ่งสกปรกต่างๆ นอกจากนี้ เนื้อเยื่อบริเวณที่เกิดสิวยังสามารถเกิดการอักเสบและติดเชื้อได้อีกด้วย
การเกิดสิวมีสาเหตุมาจากอะไร
หากต้องการรักษาสิวอย่างถูกวิธีและอยู่หมัด เราจะต้องรู้ถึงสาเหตุที่ก่อให้เกิดสิวก่อนว่าเกิดมาจากอะไร จะได้สามารถรักษาสิวได้ตั้งแต่ต้นเหตุ โดยปกติแล้ว สาเหตุของการเกิดสิวนั้นก็มีอยู่ด้วยกันหลายปัจจัย ได้แก่
- เกิดจากรูขุมขนกว้าง เพราะเมื่อรูขุมขนกว้างขึ้น สิ่งสกปรกต่างๆ ก็จะเข้าไปอุดตันได้ง่าย
- ผู้ที่มีสภาพผิวค่อนข้างมัน มีแนวโน้มที่จะเกิดสิวได้ง่ายกว่าผู้ที่มีผิวแห้งหรือผิวปกติ เนื่องจากผิวมีการผลิตน้ำมันออกมามาก และน้ำมันบนผิวก็อาจจะเข้าไปอุดตันในรูขุมขนได้
- เกิดจากพันธุกรรม เพราะหากพ่อ แม่ หรือคนในครอบครัวมีสภาพผิวที่แพ้ง่ายหรือผิวมัน ก็จะถูกส่งต่อมาสู่ลูกหลาน ซึ่งถือเป็นสภาพผิวที่ก่อให้เกิดสิวได้ง่าย
- เกิดจากแบคทีเรียชนิด P.acnes ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิวขึ้นมาได้
- เมื่อผิวเกิดการเสียดสีบ่อย ก็มีโอกาสที่จะทำให้เกิดสิวได้ เช่น การถูหรือขัดหน้าแรงๆ
- เกิดจากผิวที่มีการผลัดเซลล์ เมื่อเซลล์ผิวเก่าหลุดลอกออกมา ก็มีโอกาสที่จะหลุดเข้าไปอุดตันในรูขุมขนของเราได้
- เกิดจากการรับประทานอาหารประเภทของทอด ของมัน หรืออาหารที่มีไขมันและน้ำตาลมากเกินไป
- เกิดจากความเครียด เมื่อเรารู้สึกเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมา ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีผลต่อการผลิตน้ำมันบนใบหน้าจากต่อมไขมัน
- เกิดจากการรับประทานยาบางชนิด เช่น ยารักษาสิว หรือยาคุม ซึ่งจะมีผลต่อการหลั่งของฮอร์โมน กระตุ้นให้เกิดสิวขึ้นมาได้
ประเภทของสิวมีอะไรบ้าง มีการรักษาอย่างไร
โดยทั่วไปแล้ว ประเภทของสิวนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ สิวอักเสบ และสิวที่ไม่อักเสบ ซึ่งนอกจากจะมีลักษณะที่ไม่เหมือนกันแล้ว ยังมีแนวทางในการรักษาที่ต่างกันออกไปอีกด้วย โดยทั้งสิวอักเสบและสิวไม่อักเสบนั้นมีวิธีการรักษา ดังนี้
สิวอักเสบ
สิวอักเสบ (Inflammatory acne) เป็นสิวที่มีลักษณะบวม แดง เป็นตุ่มนูน มีทั้งแบบมีหัวและไม่มีหัว สิวอักเสบจะมีความรู้สึกเจ็บและปวดเมื่อไปสัมผัส โดยทั่วแล้วสิวอักเสบมักจะเกิดมาจากสิวอุดตันที่ไม่ได้กดออก อีกทั้งยังถูกกระตุ้นจนเกิดการอักเสบขึ้นมา เบื้องต้นแแล้วการรักษาสิวอักเสบ สามารถทำได้ด้วยการทายา Benzoyl peroxide ที่มีประสิทธิภาพในการลดแบคทีเรีย ทำให้ผิวอักเสบน้อยลง
นอกจากนี้ยังมีสิวอักเสบอีกหนึ่งประเภท ที่มีความรุนแรงมากที่สุด โดยจะมีลักษณะเป็นตุ่มนูนที่มีขนาดใหญ่ เม็ดสิวแข็งเป็นไต ซึ่งเรียกว่า “สิวหัวช้าง (Acne conglobata)” มีสาเหตุการเกิดเหมือนกับสิวอักเสบทั่วไป เพียงแต่ว่ามีขนาดใหญ่มากกว่า จึงทำให้เกิดการอักเสบมากกว่า สำหรับสิวหัวช้างแนะนำให้รักษากับแพทย์ผิวหนังโดยตรง โดยส่วนมากแล้วแพทย์จะทำการฉีดยา Corticosteroids เบื้องต้น เพื่อให้สิวมีการยุบตัว
สิวไม่อักอักเสบ
สิวไม่อักเสบ โดยทั่วไปแล้วสามารถแบ่งได้ย่อยๆ ได้อีก 4 ประเภท ได้แก่
- สิวอุดตัน (Comedones) เป็นสิวที่เกิดการอุดตันตามรูขุมขน เกิดจากการที่รูขุมขนมีการเปิดกว้าง แล้วสิ่งสกปรกต่างๆ ก็เข้าไปสะสม เช่น ฝุ่น น้ำมัน หรือเครื่องสำอาง แต่ถ้ากดออก ด้วยวิธีการกดสิวที่ถูกวิธี ก็จะทำให้สิวยุบตัวลงได้
- สิวเม็ดข้าวสาร (Milia) เป็นสิวเม็ดสีขาว คล้ายกับเม็ดข้าวสาร มีขนาดเล็ก ซึ่งสิวประเถทนี้เกิดจากการอุดตันของท่อเหงื่อ หรือเป็นไขมันยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ สิวเม็ดข้าวสารจะกดออกยากกว่าสิวอุดตัน หากกดเอง ก็จะทำให้เป็นรอยสิวได้ง่าย ดังนั้น วิธีรักษาที่ดีที่สุด คือการผลัดเซลล์ผิว
- สิวหิน (Syringoma) เป็นสิวที่มีลักษณะเป็นตุ่มนูน มีขนาดเล็ก และแข็ง สามารถพบได้บริเวณรอบดวงตา สิวประเภทนี้เกิดมาจากเนื้องอกของท่อเหงื่อ โดยส่วนมากแล้วมักพบในผู้ที่อายุมาก วิธีรักษาสามารถทำได้ด้วยการเลเซอร์เปิดหัวสิว และกดสิวออกมา
- สิวผด (Acne aestivalis) เป็นสิวที่มีลักษณะคล้ายกับผื่นคัน แต่เมื่อไปสัมผัสแล้วจะรู้สึกได้ถึงตุ่มนูน สาเหตุของการเกิดสิวผดนั้นส่วนมากแล้วมักจะเกิดจากมลภาวะ อากาศ หรือผิวเกิดการแพ้ ระคายเคือง มักจะเกิดบริเวณหน้าผาก หลัง และหน้าอก เพราะเป็นจุดที่เหงื่อออกง่าย โดยปกติแล้วสิวผดจะสามารถหายไปได้เอง แต่จะต้องมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดสิวผดขึ้นมาอีก
วิธีการรักษาสิว และป้องกันสิวด้วยตัวเอง
ส่วนใหญ่แล้วสิวมักจะเกิดจากการอุดตันของไขมันในรูขุมขนภายใต้ผิวหนังและถูกกระตุ้นด้วยเชื้อ P.acne จึงทำให้สิวปะทุขึ้นมา ดังนั้น การรักษาสิวจึงมีอยู่หลายวิธี ทั้งการใช้ยารักษาสิว การใช้วิธีทางธรรมชาติ การใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ และที่สำคัญจะต้องมีป้องกันการเกิดสิวอย่างถูกวิธี โดยสามารถทำได้ 10 วิธี ได้แก่
- ทำความสะอาดผิวหน้าอย่างสม่ำเสมอ ล้างหน้าวันละสองครั้ง (เช้าและเย็น) ด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยน ไม่ทำให้ผิวแห้งหรือระคายเคือง
- ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมช่วยรักษาสิว เช่น
- เบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิวและลดการอักเสบ
- กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) ช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วและลดการอุดตันของรูขุมขน
- เรตินอยด์ (Retinoids) ช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดการอุดตันของรูขุมขน
- การใช้ยาปฏิชีวนะ ซึ่งมีทั้งแบบทาและแบบรับประทาน ได้แก่
- ยาทาปฏิชีวนะ เช่น คลินดามัยซิน (Clindamycin) ช่วยลดการอักเสบและฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
- ยาปฏิชีวนะรับประทาน เช่น ด็อกซีไซคลิน (Doxycycline) หรือมิโนไซคลิน (Minocycline) ใช้ในกรณีที่สิวมีการอักเสบอย่างรุนแรง
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิต ลดการบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลสูง ของทอด ของมัน และอาหารที่มีไขมันทรานส์ รวมถึงการจัดการความเครียด เพราะความเครียดสามารถทำให้ปัญหาสิวแย่ลงได้ สามารถแก้ได้ด้วยการหากิจกรรมสนุกๆ ทำ หรือการออกกำลังกายเบาๆ เช่น โยคะ เป็นต้น
- งดการบีบ แคะ แกะ เกา บริเวณที่เกิดสิว ไม่ควรสัมผัสหน้าบ่อย เพราะจะทำให้สิ่งสกปรกต่างๆ เข้าสู่สิวได้ อีกทั้งหากผิวมีการเสียดสีบ่อยๆ ก็จะยิ่งทำให้สิวเห่อและเพิ่มขึ้นได้
- รับประทานอาหารเสริมที่มีส่วนช่วยในการลดสิว อย่างอาหารที่อุดมไปด้วยสังกะสี (Zinc) เช่น เมล็ดทานตะวัน ไข่ แซลมอน อะโวคาโด ซึ่งมีฤทธิ์ในการยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ลดความมันบนใบหน้า และยังลดการอักเสบของสิวได้อีกด้วย
- ดื่มน้ำเปล่าวันละ 8-10 แก้ว เพราะน้ำจะเป็นตัวช่วยขับสารพิษออกจากร่างกายของเรา รวมถึงไขมันด้วย ช่วยทำให้ระบบต่างๆ ในร่างกายของเราทำงานได้ดีขึ้น และยังทำให้เกิดสิวได้น้อยลง ที่สำคัญยังทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใสขึ้นอีกด้วย
- หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าหนักๆ เพราะเครื่องสำอางอาจทำให้รูขุมขนอุดตัน ควรเลือกใช้เครื่องสำอางที่มีความบางเบาและไม่ทำให้ผิวมัน
- รักษาความสะอาดของสิ่งที่สัมผัสใบหน้าเป็นประจำ เปลี่ยนปลอกหมอน ผ้าเช็ดหน้า และสิ่งอื่นๆ ที่สัมผัสผิวหน้าอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันการสะสมของแบคทีเรีย
- รักษาด้วยวิธีทางการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นการทำเลเซอร์ ฉีดยาลดการอักเสบ การฉายแสงเพื่อฆ่าเชื้อสิว และการกดสิว
วิธีการรักษารอยสิว
ปัญหาหลังจากการรักษาสิวที่ตามมา มักจะยิ่งรักษายากมากกว่าสิว ซึ่งนั่นก็คือ “รอยสิว” และ “หลุมสิว” แต่ถ้าหากเรามีการรักษาทันทีหลังจากสิวหายโดยไม่ทิ้งให้เกิดรอยหรือหลุมสิวลึกจนเกินไป ก็สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยทั่วไป การรักษารอยสิวและหลุมสิวสามารถทำได้ 2 วิธี คือ
- การทาครีม/ทายาลดรอยสิว
การทาครีมหรือทายาลดรอยสิว เป็นวิธีการรักษารอยสิวที่ง่ายที่สุด สามารถลดได้ทั้งรอยดำและรอยแดง เนื่องจากมีสารสกัดหลักๆ ได้แก่
- วิตามิน ซี ช่วยผลัดเซลล์ผิวให้กระจ่างใส ลดเลือนรอยดำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยต้านสารอนุมูลอิสระ ฝ้า กระ ลดลง
- เรตินอล เป็นกลุ่มอนุพันธ์วิตามิน เอ ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวเก่า เผยผิวใหม่ที่ขาวกระจ่างใส และเรียบเนียน
- AHA, BHA เป็นสารสกัดจากธรรมชาติที่มีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน อีกทั้งยังช่วยละลายน้ำมันส่วนเกินบนใบหน้าได้อีกด้วย
- การทำเลเซอร์รักษาหลุมสิว
การทำเลเซอร์ สามารถใช้รักษารอยสิวและหลุมสิวได้ โดยเฉพาะหลุมสิวที่รักษายาก ยิ่งเป็นหลุมสิวแบบ Ice pick scars การทาครีมหรือทายาอย่างเดียวก็ไม่สามารถรักษาให้ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน แต่การเลเซอร์ เป็นการยิงพลังงานแสงที่มีความเร็วสูง ซึ่งช่วยสมานแผลได้ดี หากทำอย่างต่อเนื่องก็จะทำให้ผิวกลับมาเรียบเนียนได้ดังเดิม
เป็นสิวควรฉีดสิวหรือกดสิวมากกว่ากัน
ปัจจุบันได้มี 2 วิธีรักษาสิวที่ได้รับความนิยมมาก คือ การฉีดสิวและการกดสิว แต่หลายคนสงสัยว่า วิธีไหนเหมาะกับสภาพผิวของตัวเองมากกว่ากัน มาดูข้อเปรียบเทียบกันเลย
การฉีดสิว
- เหมาะกับสิวอักเสบ สิวหัวหนอง สิวที่มีหัวชัดเจน
- ใช้เข็มขนาดเล็กเจาะหัวสิว และฉีดสารสกัดจากธรรมชาติหรือยาฆ่าเชื้อเข้าไป
- ช่วยลดอาการอักเสบ สิวแห้งเร็ว
- อาจเกิดรอยแผลเป็นได้ หากกดไม่ถูกวิธี
การกดสิว
- เหมาะกับสิวอุดตัน สิวหัวขาว สิวหัวดำ
- ใช้เครื่องมือเฉพาะทางกดสิวออกมา
- อาจเกิดการอักเสบ หรือรอยแดงชั่วคราว
- ไม่เหมาะกับสิวอักเสบ สิวหัวหนอง
การเลือกวิธีจัดการสิว ไม่ว่าจะเป็นการฉีดสิวหรือการกดสิว ขึ้นอยู่กับชนิดของสิว สภาพผิว และความรุนแรงของอาการ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง เพื่อวินิจฉัยปัญหาและเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมจะดีที่สุด
วิธีการลดโอกาสการเกิดสิวควรทำอย่างไร
หากใครรักษาสิวจนหายแล้ว หรือกังวลว่าจะเกิดสิว ก็สามารถป้องกันได้ ช่วยลดโอกาสการเกิดสิวได้ไม่ว่าจะเป็นสิวประเภทใดก็ตาม โดยมีวิธีการป้องกัน ดังนี้
- ล้างหน้าให้สะอาด : ควรทำความสะอาดผิวหน้าให้หมดจด ด้วยการทำความสะอาดแบบ Double Cleansing คือ ใช้คลีนซิ่ง แล้วตามด้วยเจลล้างหน้า จะช่วยทำความสะอาดผิวได้อย่างล้ำลึก จะช่วยลดการเกิดสิวได้ดี
- งดรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง : การหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง ถือเป็นข้อสำคัญมาก เพราะจะทำให้ร่างกายได้รับน้ำมันมากเกินไป ส่งผลให้เกิดสิวได้ อีกทั้งยังส่งผลเสียต่อสุขภาพอีกด้วย
- ซักปลอกหมอน ผ้าปูที่นอน และผ้าขนหนูเป็นประจำ : ปลอกหมอน ผ้าปูที่นอน และผ้าขนหนู เรียกได้ว่าเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียที่เยอะมาก อีกทั้งยังต้องสัมผัสกับผิวหน้าของเราอยู่บ่อยๆ หากไม่มีการซักทำความสะอาดเลย ก็จะทำให้สิ่งสกปรกเหล่านั้นเข้าไปอุดตันในผิวได้
ข้อสรุป
ถึงแม้ว่าสิว จะไม่ได้ส่งผลอันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพ แต่หากไม่มีการรักษาอย่างจริงจังหรือถูกวิธี ก็จะส่งผลให้เกิดสิวเรื้อรัง ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของเราเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ หากทิ้งไว้นานโดยไม่รักษา ก็จะทำให้เกิดรอยสิวและหลุมสิวระดับรุนแรงได้ ก็จะยิ่งทำให้รักษายากยิ่งกว่าเดิม เพื่อไม่ให้เกิดผลเสียดังกล่าว จึงควรรีบรักษาตั้งแต่ต้นตอของสาเหตุ จะช่วยทำให้ผิวกลับมาเนียนใส ไร้สิว และสุขภาพดีได้อีกครั้ง