ลดน้ำหนัก

ลดน้ำหนัก ลดไขมัน ด้วยการทำ IF ฉบับมือใหม่

ลดน้ำหนัก ลดไขมัน ด้วยการทำ IF ฉบับมือใหม่ วิธีควบคุมอาหารที่ไม่ต้องทรมานร่างกายจนเกินไป เห็นผลดี เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มควบคุมอาหาร สามารถทำควบคู่กับการออกกำลังกายและนวัตกรรมอื่นๆ เพื่อให้ได้ผลดีขึ้น

การทำ IF คืออะไร ?

Intermittent Fasting หรือ การทำ IF เป็นวิธีการลดน้ำหนักอีกวิธีหนึ่งที่เป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน เนื่องจากเห็นผลจริงและเป็นวิธีที่ปลอดภัย ไม่อันตราย เป็นวิธีลดน้ำหนักโดยการควบคุมอาหาร แคลอรี และการจำกัดเวลาในการทานอาหาร โดยมีหลากหลายวิธีในการปฏิบัติ แต่วิธีที่ได้รับความนิยมก็คือจำกัดเวลาทานอาหาร 8 ชั่วโมง และอดอาหาร 16 ชั่วโมง กล่าวคือ ทานอาหารช่วงเวลา 6:00น.-14:00น. และหลังจาก 14:00น. เป็นต้นไปจะเป็นช่วงงดอาหาร ทานได้เพียงแต่น้ำเปล่า หรือกาแฟ ชา ที่ไม่ใส่น้ำตาล

ทำไมต้องทำ IF

ทำไมต้องทำ IF คำตอบคือ IF เป็นวิธีการลดน้ำหนักที่ค่อนข้างปลอดภัยและเห็นผลจริง เหมาะสำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักในช่วงเวลาสั้นๆ ประโยชน์ของการทำ IF ที่ส่งผลดีต่อสุขภาพ คือ เมื่อน้ำหนักลดลง ปริมาณไขมันในร่างกายก็จะลดลงด้วย IF จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังแบบไม่ติดต่อต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน ไขมันสูง เป็นต้น

 สูตรของการทำ IF 

สูตรวิธีลดน้ำหนัก 5:2 

การทานอาหารตามปกติ 5 วัน และทานอาหารแบบ Fasting 2 วัน อาจจะเลือกทำติดกัน 2 วัน หรือห่างกันก็ได้ แล้วแต่ความสะดวก วิธีนี้ไม่ใช่การอดอาหารทั้งวัน เพียงแต่เป็นการลดปริมาณอาหารให้น้อยลงแทน โดยสามารถทานได้ประมาณ 1/4 ของแคลอรี่ที่ได้รับต่อวัน

สูตรวิธีลดน้ำหนัก 16/8 หรือ Lean Gains 

วิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยจะเป็นการจำกัดเวลาทานอาหาร 8 ชั่วโมง และอดอาหาร 16 ชั่วโมง โดยเป็นสูตรที่แนะนำสำหรับผู้ที่เริ่มทำ IF เนื่องจากเป็นวิธีที่ไม่ยุ่งยาก สามารถทำได้ง่ายๆ สำหรับมือใหม่

สูตรวิธีลดน้ำหนัก 19/5 หรือ Fast Five 

สูตรนี้แบ่งออกเป็นการทานอาหารเพียง 5 ชั่วโมงและอดอาหาร 19 ชั่วโมงอย่างต่อเนื่อง

สูตรลดน้ำหนักแบบ Warrior Diet 

เป็นการอดอาหาร 20 ชั่วโมง และทานอาหาร 4 ชั่วโมง หรือในแต่ละวันอาจจะทานมื้อใหญ่มื้อเดียว และไม่ทานอาหารอื่นๆ อีกเลย ซึ่งจะต้องเป็นมื้อที่เน้นอาหารที่มีโปรตีนสูงและผักสด 

สูตรลดน้ำหนักแบบ Eat Stop Eat 

สูตรการอดอาหาร 24 ชั่วโมง 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ ส่วนวันอื่นๆ ก็สามารถทานได้ตามปกติ เพียงแต่ต้องเลือกทานอย่างเหมาะสมและเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

สูตรลดน้ำหนักแบบ ADS หรือ Alternate Day Fasting 

เป็นสูตรที่มีความคล้ายสูตร IF 5:2 โดยจะเป็นการอดอาหารแบบวันเว้นวัน อดอาหาร 1 วัน กินอาหาร 1 วัน แล้วกลับมาอดอีก 1 วัน วนแบบนั้นไปเรื่อยๆ เป็นสูตรที่เรียกว่าค่อนข้างหักโหม ไม่เหมาะสำหรับคนที่เพิ่งเริ่ม แต่ทั้งนี้ในวันที่ Fast สามารถเลือกทานอาหารที่มีแคลอรีต่ำได้ เพียงแต่ต้องทานให้น้อยที่สุด  

 การทำ IF 16/8 คืออะไร 

หนึ่งในสูตรลดน้ำหนักแบบ Intermittent Fasting เป็นการลดน้ำหนักที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน โดยจะเป็นการจำกัดเวลาทานอาหาร 8 ชั่วโมง และอดอาหาร 16 ชั่วโมง ตัวอย่างเช่น ทานอาหารช่วงเวลา 6:00น.-14:00น. และหลังจาก 14:00น. เป็นต้นไป จะเป็นช่วงงดอาหาร ทานได้เพียงแต่น้ำเปล่า หรือกาแฟ ชา ที่ไม่ใส่น้ำตาล เป็นสูตรที่แนะนำสำหรับผู้ที่เริ่มทำ IF เนื่องจากเป็นวิธีที่ไม่ยุ่งยาก สามารถทำได้ง่ายๆ สำหรับมือใหม่ 

 ปัจจัยที่ทำให้การทำ IF 16/8 ไม่ได้ผล

1.อดอาหารมากเกินไป โดยใน 8 ชั่วโมงที่สามารถทานอาหารได้นั้น มีการควบคุมอาหารมากจนเกินไป ไม่ทานอาหารที่มีประโยชน์หรือไม่ทานอาหารครบ 5 หมู่ จนทำให้ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ทำให้การเผาผลาญในร่างกายลดลง และเก็บสะสมพลังงานมากขึ้นเป็นไขมัน 

2.ทานมากเกินไป เป็นปัจจัยที่เกิดขึ้นบ่อยสำหรับการทำ IF คือในช่วงที่สามารถทานอาหารได้นั้นมีการทานที่มากเกินไปเผื่อในช่วงเวลาที่อด เพื่อไม่ให้รู้สึกหิว อย่างไรก็ตามการลดความอ้วนนั้นจะต้องมีความรู้สึกหิวเป็นปกติอยู่แล้ว ดังนั้นแนะนำว่าให้ทานปกติ แต่เน้นอาหารที่ช่วยให้อิ่มท้องได้นาน

3.ติดหวาน ลดหวานไม่ได้ ในช่วงที่ทำ IF หากยังมีการทานหวานจะเกิด Sugar Addict หรืออาการติดหวาน ส่งผลให้ช่วงที่ต้องอดอาหารไม่สามารถอดได้ จะมีอาการหิวจนทนไม่ได้ ต้องหาอาหารทานในที่สุด

4.พักผ่อนไม่เพียงพอหรือนอนดึก ปัจจัยข้อนี้อยู่ในปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดโรคอ้วน เนื่องจากเมื่อนอนดึกจะทำให้ร่างกายรวน ทำให้คนนอนดึกไม่สามารถอดอาหารได้ จะต้องทานอาหารที่มีความหวาน จนเกิดความอ้วนตามมาในที่สุด เช่นเดียวกันหากเรานอนดึกในช่วงทำ IF ส่งผลให้การทำ IF ไม่ได้ผล

5.ไม่ออกกำลังกาย การลดน้ำหนักควรไม่ใช่แค่การควบคุมอาหารเท่านั้น แต่ต้องทำควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย เพื่อสร้างระบบเผาผลาญที่มีประสิทธิภาพ สร้างกล้ามเนื้อ เพื่อไม่ให้เกิดอาการโยโย่ภายหลัง ที่สำคัญคือการออกกำลังกายยังช่วยให้การทำ IF 16/8 เห็นผลไวขึ้นอีกด้วย

  ผู้ที่ไม่เหมาะกับการทำ IF

ผู้ที่ขาดสารอาหาร เนื่องจากผู้ที่ขาดสารอาหารจำเป็นจะต้องได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์และต้องทานอาหาร 5 หมู่ ให้ครบใน 3 มื้อ ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดผลเสียต่อร่างกายไม่ควรมีช่วงที่ร่างกายต้องอดอาหาร

  • เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี เด็กควรได้รับสารอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการ เพื่อให้กลไกในการทำงานของร่างกายเป็นปกติและการเจริญเติบโตที่เหมาะสม
  • หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร แม่ลูกอ่อนหรือคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับสารอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการในแต่ละวัน เนื่องจากหากมีการอดอาหารก็จะส่งผลเสียต่อสารอาหารที่เด็กควรได้รับจากการทานนมแม่และอาจส่งผลต่อทารกในครรภ์ได้ 

ไม่เพียงแต่การควบคุมอาหารแบบทำ IF เท่านั้นที่ผู้คนเหล่านี้ไม่ควรทำแต่ไม่ควรควบคุมอาหารด้วยวิธีอื่นเลย

 ประโยชน์ของการทำ IF

ประโยชน์ของการทำ IF นอกจากจะเป็นการควบคุมอาหารที่เห็นผลมากแล้ว ยังส่งผลดีต่อสุขภาพอีกด้วยคือ เมื่อน้ำหนักลดลง ปริมาณไขมันในร่างกายก็จะลดลงด้วย IF จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังแบบไม่ติดต่อต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน ไขมันสูง เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย เช่น

  • เปลี่ยนการทำงานของเซลล์ ยีนส์ และฮอร์โมนให้ดีขึ้น
  • ช่วยลดน้ำหนัก ลดหน้าท้อง 
  • ช่วยต้านสารอนุมูลอิสระ ช่วยลดอาการอักเสบ
  • ลดอาการดื้ออินซูลิน อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงโรคเบาหวาน
  • ช่วยซ่อมแซมเซลล์ภายใน
  • ช่วยลดความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์
  • ช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้น

 สามารถออกกำลังกายได้ไหมช่วงที่อดอาหาร

สามารถออกกำลังกายได้ แต่ในช่วงที่เริ่มอดอาหารแนะนำให้เริ่มออกกำลังกายแบบเบาๆก่อน หลังจากนั้นก็ค่อยๆให้ร่างกายปรับสมดุลได้ก่อนจึงออกกำลังกายอย่างหนัก โดยเฉพาะกับคนที่ชอบทานหวานเป็นชีวิตจิตใจ การทานอาหารที่มีน้ำตาลสูง แล้วมาลดน้ำหนักโดยการอดอาหาร จะทำให้ร่างกายของปรับสมดุลไม่ทัน สำหรับคนที่ไม่มีเวลาออกกำลังกาย หรือไม่ชอบออกกำลังกาย ในปัจจุบันได้มีนวัตกรรมการกระตุ้นกล้ามเนื้อ สร้างกล้ามเนื้อ ทำซิคแพคด้วยการทำ HIFEM High Intensity Focused Electro Magnetic โดยการทำงานของนวัตกรรมนี้จะใช้เทคโนโลยีของการยิงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เข้าไปในชั้นของกล้ามเนื้อ เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อให้หดตัว ที่สำคัญคือกล้ามเนื้อหดตัวมากกว่าการออกกำลังกายแบบปกติ และเวลาเดียวกันยังช่วยให้เผาผลาญไขมันได้อีกด้วย ช่วยให้กล้ามเนื้อหน้าท้องชัด บั้นท้ายกระชับ มีความปลอดภัยสูง ไม่เจ็บขณะทำ ไม่ต้องผ่าตัดให้เจ็บตัว

 ทำ IF ควบคู่การฉีดเมโสแฟต น้ำหนักลดไว

การทำ IF ให้เห็นผลเร็วนอกจากจะทำควบคู่การควบคุมอาหารและการออกกำลังกายแล้ว ยังสามารถฉีดสลายไขมันด้วย MESO FAT ได้อีกด้วย ซึ่งเป็นตัวช่วยในการสลายไขมันได้เร็วมากขึ้น MESO FAT ฉีดลดไขมัน คือตัวยาที่ช่วยสลายไขมันลงในชั้นไขมัน โดยตัวยาที่ฉีดเข้าไปจะช่วยให้ไขมันสลายตัว ไขมันก็จะถูกขับออกทางระบบขับถ่าย ทำให้ไขมันบริเวณที่ฉีดลดลง สามารถฉีดได้เฉพาะจุดโดยไม่ต้องผ่าตัด ช่วยกระชับสัดส่วนได้ตามที่ต้องการ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการลดสัดส่วนต่างๆ บนร่างกาย ตั้งแต่บริเวณใบหน้าไปจนถึงส่วนล่างของร่างกายอย่าง สะโพก ต้นขา น่อง ลดไขมันในบางจุดที่การออกกำลังกายไม่สามารถช่วยให้ลดได้มากนัก โดย MESO FAT จะช่วยลดสัดส่วนให้ไวขึ้น 

 การทำ IF ควบคู่แบบไหนที่จะได้ผลดี

หากพูดถึงการทำ IF ควบคู่วิธีธรรมชาติอย่างการออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เนื่องจากการทำ IF ควบคู่การออกกำลังกาย ช่วยสร้างระบบเผาผลาญที่มีประสิทธิภาพ สร้างกล้ามเนื้อ เพื่อไม่ให้เกิดอาการโยโย่ภายหลัง ที่สำคัญคือการออกกำลังกายยังช่วยให้การทำ IF เห็นผลไวขึ้นอีกด้วย อย่างไรก็ตามหากใครไม่มีเวลาออกกำลังกายหรือไม่สะดวกที่จะออกกำลังกาย การทำ IF ควบคู่นวัตกรรมใหม่ๆ อย่าง HIFEM และ MESO FAT ก็เป็นวิธีที่ทำให้การทำ IF เห็นผลดีและปลอดภัยเช่นเดียวกัน

การทำ IF เป็นวิธีที่ปลอดภัยไหม

หากถามว่าการทำ IF เป็นวิธีที่ปลอดภัยไหม ก็คงจะต้องตอบว่า การทำ IF จะปลอดภัยรึป่าวนั้น ขึ้นอยู่กับวิธีการปฏิบัติตัวระหว่างการทำ IF หากปฏิบัติตามวิธีการควบคุมอาหารอย่างเคร่งครัดก็จะทำให้ได้ผลดี ปลอดภัย ไม่ส่งผลเสียต่อร่างกาย อีกทั้งยังส่งผลให้ระบบต่างๆ ของร่างกายทำงานดีขึ้นอีกด้วย

ข้อสรุป

IF เป็นทางเลือกในการลดน้ำหนักที่เหมาะสม ปลอดภัย ได้ผลดี สามารถทำได้เรื่อยๆ ไม่ต้องหักโหมจนเกินไป อย่างไรก็ตามการทำ IF ให้ได้ผลดีควรทำควบคู่กับการออกกำลังกาย หรือการทำ HIFEM และ MESO FAT เพื่อให้การลดสัดส่วน กล้ามเนื้อ และไขมัน เป็นไปได้ตามต้องการ

botox

Botox 10 ผลข้างเคียงที่ต้องบอกต่อ ข้อควรรู้ก่อนฉีด

การฉีดโบท็อกซ์ เป็นอีกหนึ่งหัตถการการยกกระชับและดูแลผิวที่ครองใจสาวๆมานักต่อนัก แน่นอนว่าหลายๆท่านพึงพอใจกับผลลัพธ์ที่ได้ แต่สำหรับผู้ที่ไม่เคยมีประวัติการรักษา และต้องการรักษาครั้งแรก ควรศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจเกี่ยวกับการฉีด Botox และผลข้างเคียงที่จะได้รับเสียก่อน เพื่อเตรียมตัวในการดูแลตนเอง และในบทความนี้เราจะมาอธิบายข้อมูลของ Botox และผลข้างเคียงที่อาจจะได้รับให้ทุกท่านได้มาศึกษาและทำความเข้าใจก่อนรักษากันค่ะ

 โบท็อกซ์ (Botox) คืออะไร

หลายๆคนคงจะคุ้นเคยและรู้จักกับสิ่งนี้ นั่นคือ โบท็อกซ์ (Botox) นั่นเอง ซึ่งทุกคนคงเข้าใจในความหมายเดียวกันว่าการฉีดโบท็อกซ์นั้นจะช่วยในเรื่องของการ ลดริ้วรอย บนใบหน้าและช่วยในเรื่องอื่นๆ แต่อาจจะยังไม่เข้าใจความหมายของมันจริงๆ ซึ่งต้องบอกก่อนเลยว่า โบท็อกซ์ คือ สารที่สกัดจากแบคทีเรียสายพันธุ์เฉพาะ (Clostridium botulinum) ซึ่งตัวสารนั้นจะอยู่ในรูปของโปรตีนที่มีคุณสมบัติพิเศษ คือ สามารถจับกับปลายเส้นประสาทที่มาควบคุมกล้ามเนื้อ แล้วไปยับยั้งการกระตุ้นกล้ามเนื้อที่เลี้ยงโดยเส้นประสาทบริเวณนั้น ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ได้รับ Botox หดตัวไม่ได้และอยู่ในสภาพคลายตัวในที่สุด จึงเป็นอีกหนึ่งหัตถการการดูแลผิวหน้าให้ชะลอวัยนั่นเอง

โบท็อกซ์ (Botox) ช่วยรักษาเรื่องอะไร

โบท็อกซ์ (Botox) สามารถช่วยแก้ไขปัญหาผิวต่างๆ ได้หลายบริเวณ ได้แก่

  • โบท็อกซ์กราม ทำให้ใบหน้าดูเรียวขึ้น เหมาะกับผู้ที่มีปัญหากล้ามเนื้อกรามใหญ่ แต่ไม่เหมาะกับคนที่มีแก้มตอบและใบหน้าหย่อนคล้อยเยอะ
  • โบท็อกซ์ลิฟกรอบหน้า ช่วยให้ผิวบริเวณกรอบหน้ายกกระชับ แนวกระดูกกรามคมชัด ใบหน้าได้รูป เหมาะกับคนไข้ที่ไม่ได้มีปัญหาความหย่อนคล้อยเยอะ
  • โบท็อกซ์รักแร้ ช่วยลดการทำงานของต่อมเหงื่อ ทำให้เหงื่อออกลดลง โดยเฉพาะบริเวณรักแร้เมื่อเหงื่ออกลดลง กลิ่นตัวก็จะลดลงไปด้วย
  • โบท็อกซ์ปีกจมูก ช่วยจมูกที่บานจากปีกจมูกกว้างดูแคบลง รูจมูกเล็กลง
  • โบท็อกซ์ริ้วรอย ช่วยลดริ้วรอยย่นขณะแสดงสีหน้าบริเวณหน้าผาก หว่างคิ้ว หางตาตก รอยย่นจมูก ทำให้ผิวหน้ากระชับ ลดรอยตีนกา หน้าแลดูอ่อนเยาว์ขึ้น  
  • โบท็อกซ์ลดน่อง ช่วยให้กล้ามเนื้อน่องเรียวเล็กลง 
  • โบท็อกซ์รักษาไมเกรน ยับยั้งไม่ให้กล้ามเนื้อหดตัวได้ชั่วคราว ทำให้คนไข้กลุ่มนี้มีอาการปวดไมเกรนลดลงและไม่รุนแรงเหมือนเดิม
  • โบท็อกซ์รักษา Office syndrome ทำให้กล้ามเนื้อหลังไม่หดเกร็ง คลายกล้ามเนื้อลง ผลพลอยได้ในบางคนจะทำให้ปีกที่หลังดูเล็กลง 

การโบท็อกซ์ (Botox) เป็นอันตรายหรือไม่

การฉีด โบท็อกซ์ (Botox) นั้นไม่เป็นอันตราย เพราะเป็นสารที่ได้รับการรับรองความปลอดภัยจากองค์การอาหารและยา และมีการใช้อย่างแพร่หลายทั่วโลกเป็นเวลาหลายสิบปี จึงสามารถมั่นใจได้ในเรื่องของความปลอดภัยและไม่เป็นอันตรายต่อคนไข้ 

แต่ในปัจจุบันมีโบท็อกซ์ปลอม กระจายอยู่มากมาย เพราะอาจทำให้ดื้อโบท็อกซ์และเกิดอันตรายได้จากการฉีดผิดตำแหน่งไปโดนกล้ามเนื้ออื่นที่ไม่ต้องการเนื่องจากผู้ฉีดไม่ทราบถึงสรีระและกายวิภาคของกล้ามเนื้อบนใบหน้าดีพอ อาการที่เกิดขึ้นได้จากการฉีดผิดตำแหน่งได้แก่ หางตาตก ยิ้มเบี้ยว เป็นต้น

10 ผลข้างเคียงที่ควรรู้ก่อนฉีดโบท็อกซ์ (Botox) 

ถึงแม้การฉีด โบท็อกซ์ (Botox) นั้นจะมีข้อดีมากมายและเป็นที่นิยมอย่างมาก แต่ก็อาจจะมีผลข้างเคียงกับคนไข้บางราย ซึ่งนั้นก็รวมถึงการเลือกคลินิกที่ไม่ได้คุณภาพ โบท็อกซ์ปลอม รวมไปถึงการเลือกฉีดกับหมอกระเป๋าด้วย ซึ่ง 10 ผลข้างเคียงที่ควรรู้ก่อนการฉีดโบท็อกซ์ ได้แก่

  • หน้าแข็งไร้อารมณ์

การฉีดโบท็อกซ์ในปริมาณที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้เกิดปัญหาใบหน้าแข็ง บังคับกล้ามเนื้อบนใบหน้าไม่ได้ ทำให้หน้าตาดูทื่อคล้ายกับหุ่นยนต์ นับเป็นผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยในคลินิกที่คุณหมอไม่เชี่ยวชาญ หรืออยากขายจำนวนยูนิตเยอะๆ 

  • หน้าผากตกและตึง

หากได้รับโบท็อกซ์ในปริมาณมากเกินในบริเวณหน้าผาก อาจทำให้รู้สึกตึงและหนัก หน้าผากจะดูตกลง ส่งผลต่อการยักคิ้ว และอาจทำให้ดวงตาตกลง ดูเป็นคนง่วงตลอดเวลา

  • หน้าดูตื่นเต้น หางคิ้วกระดก

หากฉีดโบท็อกซ์แล้วดูแลไม่เหมาะสมอาจทำให้กล้ามเนื้อบริเวณคิ้วยกตัวขึ้น ทำให้คิ้วกระดก ทำให้หน้าตาเหมือนคนที่กำลังรู้สึกตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งยังอาจทำให้เกิดรอยย่นขึ้นที่ด้านข้างของคิ้วเพิ่มขึ้นอีกด้วย

  • หนังตาตก

ผลข้างเคียงโบท็อกซ์ จากความไม่ชำนาญของแพทย์  ฉีดผิดจุดทำให้กล้ามเนื้อที่หยุดทำงานไปเกิดเป็นอัมพาต อาจทำให้หนังตาของคุณตกลง หางตาตก อ่อนแรง และอาจร้ายแรงถึงขั้นลืมตาได้ไม่เท่ากัน มีสายตาพร่ามัว 

  • มีรอยเขียว ช้ำ หน้าชา

หน้าชาไร้ความรู้สึกและผิวช้ำเป็นจ้ำมีโอกาสเกิดขึ้นได้ตามปกติปกติ เพราะโบท็อกซ์ เป็นการใช้เข็มฉีดลงไปในผิว จะช้ำมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความชำนาญและการระมัดระวังของแพทย์

  • มีอาการแขนขาอ่อนแรง มองเห็นภาพไม่ชัด

อาการสามารถเกิดได้แม้กับบริเวณที่ไม่ได้อยู่ใกล้เคียงกับจุดที่ฉีดโบท็อกซ์เข้าไป เช่น ฉีดที่หน้าแต่เกิดอาการอ่อนแรงที่แขน-ขา มองเห็นภาพซ้อนหรือมองไม่ชัด เสียงหาย หายใจลำบาก หายใจถี่ ความสามารถในการอั้นปัสสาวะลดลง เป็นต้น ถือว่าข้อนี้ร้ายแรงเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นการ ฉีดโบท็อกซ์ ทุกครั้ง ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น

  • ใบหน้าบางส่วนเป็นอัมพาต

กลไกการทำงานของ โบท็อกซ์ คือเข้าไปยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดลงไป กล้ามเนื้อส่วนที่ต้องการนั้นจึงเป็นอัมพาตชั่วคราว เมื่อกล้ามเนื้อไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ริ้วรอยจึงไม่เกิดเพิ่มและเล็กลง แต่ฤทธิ์ของสารที่ฉีดเข้าไปอาจกระจายออกไปกว้างกว่าที่ต้องการ หากแพทย์ไม่เชี่ยวชาญหรือไปเผลอฉีดกับหมอกระเป๋า ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณข้างเคียงก็ชา ไม่สามารถขยับเคลื่อนไหวได้ตามไปด้วย ใบหน้าจึงเป็นอัมพาตไปบางส่วน 

  • มีอาการปากเบี้ยว พูดไม่ชัด

หากฉีดโบท็อกซ์ลดกรามในตำแหน่งที่ผิดหรือไม่เหมาะสม มีผลทำให้กล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ดึงมุมปากขณะยิ้มได้รับการกดจากตัวยา ผลคือมุมปากสองข้าง ยกไม่เท่ากัน ปากเบี้ยวเวลายิ้ม แนะนำให้ฉีดกับแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ และใช้เทคนิคที่ถูกต้องเพื่อลดความเสี่ยงการฉีดโบท็อกซ์ให้น้อยลงจะดีกว่า

  • มีอาการปวดศีรษะ อาเจียน เวียนศีรษะ

ผลข้างเคียงอื่น ๆ ที่สามารถเกิดขึ้นได้จากการฉีดโบท็อกซ์ เช่น มีความรู้สึกเจ็บที่ใบหน้า ปวดศีรษะ ผิวเห่อแดง มีอาการวิงเวียนศีรษะ อาเจียน เป็นต้น ควรอยู่ในการดูแลของแพทย์ และเลือกคลินิกที่มีการดูแลหลังทำ เพื่อความสบายใจ และความปลอดภัย

  • การฉีดโบท็อกซ์ไม่ผ่านการรับรองจาก อย.

ผลข้างเคียงโบท็อกซ์ อาจจะเกิดน้อย เกิดมาก หรือไม่เกิดเลย สรุปง่ายก็คือขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญของแพทย์ และตัวยาโบท็อกซ์ที่ฉีด ที่ต้องเป็นของแท้และฉีดในปริมาณที่เหมาะสม

เตรียมตัวอย่างไรก่อน-หลังไปฉีดโบท็อกซ์ (Botox)

ก่อนฉีด 

  • เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน และแพทย์ที่มีความชำนาญ
  • ตรวจสอบ โบท็อกซ์ (Botox) ก่อนฉีดทุกครั้งเพื่อให้มั่นใจได้ว่าฉีดของแท้ได้มาตรฐาน อย. โดยตรวจสอบตัวกล่องยาและขวดยาต้องมีข้อมูลที่ตรงกัน หรือบางแบรนด์จะมี QR code ให้สแกนเพื่อเช็กข้อมูลผลิตภัณฑ์
  • งดดื่มแอลกอฮอล์ ก่อนฉีดเป็นเวลา 24 ชั่วโมง
  • ในรายที่รับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือดควรปรึกษาแพทย์ก่อน
  • งดวิตามินที่ทำให้เลือดหยุดไหลได้ยาก เช่น วิตามินอี น้ำมันปลา สารสกัดจากโสม ใบแปะก๊วย
  • หากมีโรคประจำตัวควรแจ้งให้แพทย์ทราบ

หลังฉีด

  • อย่านวด กด หรือสัมผัสบริเวณที่รักษา 
  • อย่านอนราบหรือก้มหน้าเป็นเวลา 4 ชั่วโมง
  • งดการอยู่ในที่ร้อน เป็นเวลา 4 ชั่วโมง
  • รอยนูนจากการฉีดจะหายไปเองภายในเวลา 2-3 ชั่วโมง
  • งดเว้นการออกกำลังกายอย่างหนัก หรือการเล่นโยคะเป็นเวลา 4 ชั่วโมง หลังการรักษา
  • งดการทายาหรือเครื่องสำอางที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองเช่น กรดวิตามินเอ AHA วิตามินซีเป็นเวลา 24 ชั่วโมง หลังการรักษา
  • พยายามขยับกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีด 1-2 ชั่วโมง เพื่อให้ยากระจายตัวเข้ากล้ามเนื้อได้มากขึ้น
  • สามารถใช้น้ำแข็งประคบในกรณีที่มีอาการบวมแดงหรือช้ำได้
  • สามารถใช้เครื่องสำอางได้หลังการรักษาด้วยความนุ่มนวล หลีกเลี่ยงการกดถู
  • ผู้ป่วยจะเริ่มเห็นผลการรักษาใน 2-7 วัน และเห็นผลการรักษาสูงสุดใน 2 สัปดาห์

เมื่อเกิดผลข้างเคียงควรทำอย่างไร

ผลข้างเคียงจากการฉีด โบท็อกซ์ (Botox) ส่วนมากที่เกิดขึ้นมักเป็นแบบเฉพาะที่ เช่น หางตาตก  หน้าไม่สมมาตร หรือจุดเลือดออกในบริเวณที่ฉีด ซึ่งเกิดได้แม้ในผู้เชี่ยวชาญ แต่ผลจากการฉีด โบทูลินั่มท็อกซิน นั้นจะค่อยๆ หมดไปเองภายในเวลาเป็นหลักเดือน ดังนั้นผู้รับการรักษาอาจรอให้ผลของ โบทูลินั่ม ท็อกซิน หมดไปเองก็ได้ ส่วนในกรณีที่เกิดหนังตาตกนั้น ผู้รับการรักษาควรปรึกษาแพทย์ผู้ทำการรักษาเพื่อแก้ไขเป็นกรณีไป 

วิธีการเลือกโบท็อกซ์ (Botox) ที่ปลอดภัย

การเลือกฉีดโบท็อกซ์ (Botox) ที่ปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากการฉีดโบท็อกซ์ต้องใช้ความระมัดระวังและความเชี่ยวชาญเพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ นี่คือบางปัจจัยที่ควรพิจารณาเพื่อเลือกฉีดโบท็อกซ์ที่ปลอดภัย:

  1. ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับโบท็อกซ์ ควรศึกษาและเข้าใจข้อมูลเกี่ยวกับโบท็อกซ์ รวมถึงวิธีการทำงาน ผลลัพธ์ที่คาดหวัง รายละเอียดเกี่ยวกับผลข้างเคียงและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
  1. เลือกคลินิกที่เปิดอย่างถูกต้อง ควรเลือกสถานพยาบาลหรือคลินิกที่มีชื่อเสียงและได้รับการรับรองเป็นที่ปลอดภัย มีบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความรู้ความชำนาญในการทำการฉีดโบท็อกซ์
  1. ตรวจสอบข้อมูลของแพทย์ ควรตรวจสอบความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของแพทย์ที่จะทำการฉีดโบท็อกซ์ สามารถตรวจสอบข้อมูลดังกล่าวได้จากเว็บไซต์ของสถานพยาบาล หรือสอบถามเพื่อนรู้จักที่ได้รับการรักษาจากแพทย์เกี่ยวกับประสบการณ์ของพวกเขา
  1. การตรวจสอบยาแท้ สำหรับโบท็อกซ์แท้ สามารถตรวจสอบความถูกต้องของยาได้โดยการตรวจสอบเลข Lot. ที่กล่องและขวดว่าตรงกันหรือไม่ อีกทั้งสามารถตรวจสอบได้โดยการตรวจดูผลึกยาที่อยู่ที่ก้นขวด โดยจะไม่มีน้ำเกลือในขวด และสามารถโทรหาบริษัทนำเข้าเพื่อตรวจสอบเลข Lot. ของยาได้

วิธีสังเกตโบท็อกซ์ (Botox) ของแท้สังเกตอย่างไร

 วิธีดู โบท็อกซ์ (Botox) แท้ง่าย ๆ สามารถตรวจสอบด้วยตัวเองได้ ดังนี้

  • โบท็อกซ์แท้ต้องมีฝาพลาสติกใสปิดทับอยู่ด้านบน
  • มีตัวหนังสือภาษาไทยแสดงเลขที่ อย. มีวันผลิตและวันหมดอายุที่กล่องกับขวดตรงกัน
  • มีข้อมูลระบุว่านำเข้าโดยบริษัทใด
  • Botox ของแท้จะมีจุดสแกน QR code ที่ข้างกล่อง สามารถสแกนเพื่อเช็คได้ด้วยตนเอง หากเป็นของแท้จะมีข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ขึ้นมาให้อย่างครบถ้วน 

อันตรายจากโบท็อกซ์ (Botox) ปลอม

อันตรายที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่จะเกิดจากการเลือกฉีดโบท็อกซ์ปลอม เพราะเห็นว่ามีราคาถูก ไม่ได้คำนึงถึงอันตรายจากโบท็อกปลอม ฉีดกับหมอกระเป๋า คลินิกเถื่อน ที่นอกจากหมอจะไม่รู้เทคนิคการฉีดโบท็อกซ์ ที่ถูกต้องแล้ว คุณภาพและการเก็บรักษาตัวยาโบท็อกซ์ก็ไม่ได้มาตรฐาน ทำให้คุณภาพของโบท็อกซ์เสื่อม ฉีดแล้วไม่เห็นผล หรือฉีดแล้วเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้ ดังนี้

  • ฉีดโบท็อกแล้วไม่ได้ผล หมดฤทธิ์ไว
  • ตัวยากระจายโดนกล้ามเนื้อมัดอื่น ทำให้หางตาตก ปากเบี้ยว
  • เสี่ยงต่อการแพ้
  • ได้ผลดีในครั้งแรกๆ แต่ครั้งต่อไปไม่ได้ผล
  • ต้องฉีดโบท็อกซ์บ่อยขึ้น เสี่ยงต่อการดื้อโบท็อกซ์

 ข้อสรุป

โบท็อกซ์ (Botox) อีกหนึ่งหัตถการการดูแลผิวที่ครองใจสาวๆมานานหลายปี เป็นอีกหนึ่งการยกกระชับผิวหน้าที่เห็นผลผล ทั้งลดริ้วรอย ลดรอยตีนกา ผิวหน้าดูอ่อนเยาว์ ซึ่งบริเวณที่นิยมฉีดมากที่สุดคือ หว่างคิ้ว หน้าผาก โหนกแก้ม การฉีดโบท็อกซ์นั้นมีผลข้างเคียงหลายอย่าง แต่ไม่เป็นอันตรายอย่างแน่นอนถ้าหากเลือกคลินิก แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และยี่ห้อของโบท็อกซ์ให้ดี เพราะอาจก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ แต่อย่างไรก็ตาม การฉีดโบท็อกซ์ในปัจจุบันนี้ก็ยังคงได้รับความนิยมมากอยู่ทั้งหนุ่มสาวต่างก็ให้ความสำคัญกับผิวหน้า หากคุณสนใจสามารถปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อเช็คสภาพผิวเข้ารับการรักษาได้ค่ะ

HIFU ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น

ทำ HIFU มีผลข้างเคียงหลังทำไหม เป็นอันตรายหรือไม่ ?

HIFU เป็นหัตการการยกกระชับหน้า ที่สามารถทำได้ทั้งบริเวณใบหน้าและบริเวณตัว บริเวณต้นแขน ต้นขา หน้าท้องหรือสะโพก เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยชัด ร่องแก้มลึก ผิวไม่กระชับ มีปัญหาไขมันส่วนเกิน หรือต้องการปรับรูปหน้าให้ชัดขึ้น สำหรับใครที่กำลังมีปัญหาเหล่านี้ และกำลังมองหาวิธีการยกกระชับผิวแบบที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องฉีด ไม่ต้องพักฟื้นสามารถใช้ชีวิตได้ปกติหลังทำเสร็จทันที การทำ HIFU ถือว่าตอบโจทย์มากที่สุด และต่อไปนี้คือคำถามที่พบบ่อยสำหรับผู้ที่กำลังตัดสินใจทำ HIFU

หลังทำ HIFU มีผลข้างเคียงอย่างไร มีอาการรุนแรงไหม ?

ปกติแล้วผลข้างเคียงของการทำ HIFU (ไฮฟู่) นั้นจะมีน้อยมาก ส่วนมากแล้วจะเป็นอาการหน้าบวมและแดง ซึ่งจะมีอาการตึงๆ และปวดเล็กน้อยในบริเวณที่ทำ แม้ว่าจะไม่ต้องผ่าตัดหรือฉีดยา และมีความปลอดภัย แต่ก็อาจเกิดผลข้างเคียงในบางคนได้ แต่โดยปกติจะไม่มีอาการรุนแรง ซึ่งส่วนใหญ่ในการทำ HIFU ผลข้างเคียงจะเกิดจากการใช้เครื่องมือที่ไม่ได้มาตรฐาน มีการปล่อยพลังงานที่ไม่สม่ำเสมอ หรือแพทย์ที่ไม่ชำนาญการ ทำให้การวางหัวยิงพลังงาน HIFU ไม่แนบสนิทกับผิวหนัง อาจทำให้ให้ผิวหน้าไหม้หลังทำได้ 

ทำ HIFU มีอาการเจ็บไหม

ในระหว่างทำ HIFU จะรู้สึกเจ็บในระดับหนึ่ง โดยจะรู้สึกปวด ๆ ตึง ๆ บริเวณใต้ผิวที่ทำ เนื่องจากมีการยิงคลื่นเสียงความเข้มข้นสูงเพื่อยกกระชับผิว ดังนั้นในระหว่างการทำ HIFU จะรู้สึกเจ็บในระดับที่ทนได้ หรือรู้สึกเสียวฟันขณะทำการรักษา หรือถ้าหากรู้สึกมีความร้อนผิวหน้าขณะทำมากเกินไป ครวรีบแจ้งแพทย์ผู้ทำทันที เพราะหากทำในพลังงานที่สูงเกินไปอาจจะทำให้ผิวหน้าพ่อง หรือไหม้ได้ แต่ถ้าหากกลัวเจ็บ ก็มีหลายวิธีที่สามารถช่วยลดความเจ็บระหว่างทำได้ เช่น การทายาชาหรือการรับประทานยาแก้ปวดก่อนทำ หรือในรายที่เจ็บมากแพทย์อาจพิจารณาฉีดยาชาเฉพาะที่ได้ ถ้าหากพบว่าระหว่างการทำ HIFU ไม่รู้สึกเจ็บ นั่นเป็นเพราะว่าเครื่อง HIFU ที่ใช้อาจไม่ได้มาตรฐาน หรือใช้พลังงานต่ำมากเกินไป ทำให้ผลลัพธ์หลังทำไม่เห็นผลเท่าที่ควร

HIFU

 หลังทำ HIFU มีอาการหน้าบวม เป็นอันตรายไหม

หลังจากทำ HIFU เพื่อยกกระชับหน้าแล้ว จะมีอาการบวมบริเวณใบหน้าหลังทำประมาณ 1-2 สัปดาห์  แต่บริเวณส่วนอื่นๆตามร่างกายอย่างต้นแขน ต้นขา หรือหน้าท้องก็จะมีอาการตึงๆเล็กน้อย ซึ่งอาการเหล่านี้ไม่ส่งผลอันตราย แต่ถ้าหากมีอาการปวดร่วมด้วย สามารถทานยาแก้ปวดหรือประคบเย็นเพื่อบรรเทาได้ตามปกติ  แต่ถ้ามีอาการบวมที่ไม่เท่ากันอย่างเห็นได้ชัด ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาต่อไป

 หลังทำ HIFU มีผิวหน้าแดง จะมีอาการนานไหม

หลักจากการทำ HIFU (ไฮฟู่) อาจมีรอยแดงหลังทำเล็กน้อยซึ่งเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากเป็นการยิงพลังงานผ่านความร้อน จึงอาจทำให้ผิวรู้สึกร้อนและเกิดอาการแดงได้ ซึ่งอาการนี้จะหายไปเองภายใน 1-2 ชั่วโมง แต่หากมีอาการแสบร้อนร่วมด้วย ควรรีบปรึกษาแพทย์และเข้ารับการรักษาเพราะอาจมีอาการผิวไหม้จากความร้อนของพลังงานหรือการถูกแสงแดดโดยตรง นอกจากนี้ ควรทาครีมกันแดดที่มี Spf 30+ ขึ้นไป และหลีกเลี่ยงการออกแดดให้ได้มากที่สุด

 ผลข้างเคียงรุนแรงจากการทำ HIFU 

อาการเบื้องต้นหลังทำ มีอาการหน้าแดง บวม ซึ่งเกิดขึ้นได้ปกติ แต่ความเสี่ยงผลข้างเคียงที่รุนแรง จะมีอาการหน้าชาร่วมด้วย อาการชาอาจจะเกิดได้จากโดนเส้นประสาทบริเวณใบหน้า แต่อาการดังกล่าวก็สามารถหายได้ภายใน 3-7 วัน  ส่วนอาการข้างเคียงที่อันตรายอื่นๆนอกเหนือจากนี้คือ คือ ผิวเบิรน ไหม้ หรือมีตุ่มน้ำขนาดเล็ก ซึ่งมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้น้อยมาก

  การป้องกันผลข้างเคียงหลังจากการทำ HIFU 

สิ่งที่สามารถช่วยลดและป้องกันผลข้างเคียงจากการทำ HIFU เบื้องต้น มีดังต่อไปนี้

  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • หากมีอาการปวดหลังทำ สามารถทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการได้
  • หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องใช้แรงหรือการยกของหนัก เพื่อป้องกันอาการบวมที่อาจจะเพิ่มมากขึ้น
  • ทาครีมกันแดดที่มี SPF 30+ ขึ้นไป ถ้าเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดให้ได้มากที่สุด
  • แจ้งแพทย์ทันที หากมีอาการไม่พึงประสงค์ เช่น ความเจ็บที่เพิ่มขึ้น อาการหน้าชา หรืออาการหน้าบวมที่ไม่ลดลง 

 ข้อปฎิบัติตัวหลังทำ HIFU

การปฏิบัติตัวหลังทำ HIFU ที่ดีจะช่วยให้ผลลัพธ์ออกมามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยมีข้อปฏิบัติหลังทำ  ดังนี้

  • งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่ เป็นเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ เพราะสามารถส่งผลให้กระบวนการกระตุ้นคอลลาเจนทำงานไม่ดีเท่าที่ควร 
  • ไม่ควรสัมผัสหรือถูแรงๆ บริเวณที่พึ่งทำ HIFU ในช่วง 3 วันแรก
  • สามารถทาครีมบำรุงได้ตามปกติ รวมถึงควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง ๆ เพื่อป้องกันริ้วรอย และปัญหาผิวอื่นๆที่อาจตามมา
  • หากมีอาการปวดตึงบริเวณที่ทำสามารถทานยาแก้ปวดได้ ในอาการปวดจะมีช่วง 3 วันแรกหลังทำเป็นอาการปกติ
หลังทำ HIFU

 การทำ HIFU สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่นได้ไหม

สำหรับผู้ที่สนใจการทำหัตถการอื่นๆ เช่น ฉีดฟิลเลอร์หรือฉีดโบท็อกซ์ สามารถทำร่วมกับ HIFU ได้ แต่ควรปรึกษาและอยู่ในความดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อที่แพทย์จะสามารถประเมินสภาพผิวและให้คำแนะนำที่เหมาะสมต่อไป

 การทำ HIFU ไม่เหมาะสำหรับใครบ้าง

ถึงแม้การทำ HIFU จะมีความปลอดภัยสูง แต่ก็ยังมีบุคคลบางประเภทที่ควรละเว้นการทำ HIFU เพราะอาจจะมีปัญหาอื่นๆตามมาภายหลัง ซึ่งผู้ที่ไม่เหมาะกับการทำ HIFU มีดังต่อไปนี้

  • ผู้ที่มีอาการผิวอักเสบ มีแผล หรือฝังโลหะจะไม่สามารถยกกระชับผิวในบริเวณที่ต้องการรักษาได้ 
  • สตรีมีครรภ์ เนื่องจากอาจส่งผลเสียต่อทารกในครรภ์ได้
  • ผู้มีโรคประจำตัว โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวกับระบบไหลเวียนโลหิต เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคความดันโลหิตสูง
ยกกระชับใบหน้า

 ข้อสรุป

HIFU เป็นนวัตกรรมการยกกระชับหน้า ที่ใช้คลื่นอัลตราซาวด์ความเข้มข้นสูง ช่วยในเรื่องของปัญหาผิวต่างๆอาทิ ผิวไม่กระชับ มีริ้วรอย ร่องแก้มลึก มีไขมันส่วนเกิน ซึ่ง HIFU จะช่วย ลดแก้ม ลดเหนียง ปรับรูปหน้าให้สมดุลมากขึ้น ให้กรอบหน้าชัดขึ้น ซึ่งหัตถาการดังกล่าวนั้นเป็นที่นิยมมาก เพราะ ไม่ต้องผ่าตัด เจ็บน้อย และผลข้างเคียงน้อยมาก อีกทั้งยังสามารถเห็นผลหลังทำได้ทันที  ดังนั้นผู้ที่กังวลเรื่องทำ HIFU สามารถสบายใจได้ หรือถ้าหากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการทำ HIFU เจ็บไหมสามารถเข้าปรึกษาที่คลินิกได้โดยตรง เพื่อให้แพทย์เป็นผู้ประเมินปัญหาก่อนตัดสินใจทำ HIFU

ข้อปฎิบัติหลังทำ HIFU

ยกกระชับหน้า ด้วย HIFU ข้อปฎิบัติหลังทำ เพื่อผลลัพธ์หลังทำที่ปัง

HIFU ได้รับความนิยมในการใช้รักษาการยกกระชับหน้าและลดริ้วรอยบนผิวหนัง โดยมีประโยชน์หลายอย่าง เช่น ไม่ต้องผ่าตัดหรือฉีดสารเติมเต็ม ไม่ต้องใช้เวลาฟื้นตัวนาน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดจาก HIFU ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์หรือผู้ที่ให้การรักษา เนื่องจากผลการรักษาอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล การปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญเป็นสิ่งสำคัญก่อนการตัดสินใจทำ HIFU วันนี้เราจึงได้สรุปข้อปฏิบัติหลังการทำ HIFU มาให้ทุกท่านได้นำไปปรับใช้กันค่ะ

  HIFU คืออะไร ช่วยแก้ปัญหาอะไรบ้าง

HIFU ย่อมาจากคำว่า High Intensity Focus Ultrasound คือ หัตถการการยกกระชับผิว โดยผ่านการใช้เครื่องมือเฉพาะสำหรับการยกกระชับผิวและสัดส่วน ซึ่งจะเป็นการช่วย ยกกระชับหน้า แก้ม คาง และส่วนอื่นๆตามร่างกายอย่าง ต้นแขนหรือต้นขา ทำให้ผิวบริเวณที่ทำนั้นกระชับและยืดหยุ่นมากขึ้น เพราะ HIFU นั้นจะเข้าไปช่วยกระตุ้นการสร้างอีลาสตินและกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิวหนัง ทำให้ริ้วรอยจางลง รูขุมขนกระชับขึ้น นอกจากนี้การทำ HIFU ก็ไม่จำเป็นต้องพักฟื้น เพราะไม่มีแผลหลังการทำนั่นเอง ซึ่งการทำ HIFU จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาผิวต่างๆ ดังนี้

  • แก้ปัญหา ผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ
  • แก้ปัญหาริ้วรอยบนผิวหน้า ทำให้ตื้นขึ้น ไม่เป็นร่องลึก
  • แก้ปัญหาชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ลดแก้ม ลดเหนียง
  • ช่วยยกหางคิ้วขึ้น แก้ปัญหาหนังตาตก ทำให้หน้าเต่งตึง กรอบหน้าชัด ขึ้น
  • ช่วยยกกระชับผิวบริเวณร่างกายส่วนอื่นๆได้ เช่น ต้นแขน หน้าท้อง สะโพก และต้นขา เป็นต้น

 การทำ HIFU กี่วันเห็นผลลัพธ์

หลังทำ HIFU (ไฮฟู่) เสร็จจะสามารถเห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงได้เลยทันที หลังจากผ่านไป 1-2 เดือนจะยิ่งเห็นผลชัดเจนมากขึ้น การทำ HIFU ส่วนมากจะใช้เครื่องที่มีหัวยิงแบบ Line Cartridge หน่วยของมันจึงใช้คำว่า ไลน์ (Line) เพราะฉะนั้นแล้ว การยกกระชับหน้า หรือ ยกกระชับผิวกาย ก็จะขึ้นอยู่กับจำนวนไลน์ที่ทำด้วยว่าทำเหมาะสมกับผิวของแต่ละบุคคลหรือไม่ ซึ่งจำนวนไลน์ขั้นต่ำมาตรฐานในการทำจะสามารถแบ่งออกเป็นส่วนๆ ดังนี้

  • ใต้ตา+ร่องแก้ม ใช้ 300 ไลน์
  • แก้ม+เหนียง ใช้ 300 ไลน์
  • เฉพาะเหนียง ใช้ 100 ไลน์
  • ทั่วหน้า หรือต้นแขน ใช้ 500-700 ไลน์
  • ทั่วหน้า+ลำคอ ใช้ 1,000 ไลน์
  • ต้นขา ใช้ 1,000 ไลน์

 ข้อปฎิบัติหลังทำ HIFU มีอะไรบ้าง

การปฏิบัติตัวหลังทำ HIFU ให้ดีต่อผิวหน้า และถูกต้องจะช่วยให้ผลลัพธ์หลังทำได้ผลลัพธ์ที่ดี โดยมีข้อปฏิบัติหลังทำ HIFU ดังนี้

  • ไม่ควรถูบริเวณใบหน้า หรือจุดที่ทำแรงจนเกินไป ถ้าเป็นไปได้ควรสัมผัสให้น้อยที่สุด
  • การยกกระชับหน้า เป็นการฟื้นฟูคอลลาเจนใต้ผิวหนัง จึงไม่ควรอยู่กลางแจ้งหรือโดนแดดจัดๆ เป็นเวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ 
  • สามารถใช้ครีมบำรุงผิวหน้าที่ใช้เป็นประจำได้อย่างปกติ และแนะนำให้ทาครีมกันแดดอยู่เป็นประจำ เพื่อป้องกันผิวบริเวณแก้มหย่อนคล้อย
  • หากมีอาการปวดตึงหลังทำ สามารถทานยาแแก้ปวดได้ ถ้าหากปวดขั้นรุนแรงให้รีบพบแพทย์เพื่อขอคำปรึกษา
  • งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ เพราะแอลกอออล์เป็นตัวทำลายคอลลาเจนชั้นดีเลยทีเดียว 

 การทำ HIFU เหมาะสำหรับใครบ้าง

การทำ HIFU (ไฮฟู่) สามารถทำได้ทุกเพศ-ทุกวัย สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้ ไม่ส่งผลกระทบใดๆ ดังนั้น การทำ HIFU จึงถือว่าเป็นการดูแลผิวที่ปลอดภัยและเห็นผลชัดที่สุด การทำ HIFU จึงเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวดังนี้

  • ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ รูขุมขนกว้าง
  • ผู้ที่มีปัญหาเรื่องริ้วรอย ร่องใต้ตา ร่องแก้มลึก
  • ผู้ที่มีปัญหากรอบหน้าไม่ชัด ต้องการปรับรูปหน้า ให้กรอบหน้าชัดขึ้น
  • ผู้ที่มีปัญหาเรื่องไขมันสะสมใต้ชั้นผิวหนัง อยากลดแก้ม ลดเหนียง
  • ผู้ที่ต้องการดูแลผิว แต่ไม่มีเวลาพักฟื้น
  • ผู้ที่ต้องการดูแลผิวแบบไม่ต้องผ่าตัด ไม่อยากมีแผล

 การทำ HIFU ไม่เหมาะสำหรับใคร

ถึงแม้ว่าการทำ HIFU จะมีผลข้างเคียงน้อยและมีความปลอดภัยสูง แต่การยกกระชับผิวก็ยังต้องคำนึงถึงสภาพผิวของแต่ละบุคคล รวมไปถึงปัจจัยร่วมอื่นๆ ร่วมด้วย โดยผู้ที่อาจไม่เหมาะสำหรับการทำ HIFU มีดังนี้

  • สตรีมีครรภ์ เพราะอาจจะส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ได้ 
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวกับระบบไหลเวียนโลหิต อาทิ โรคหัวใจ โรคความดันโลหิต โรคหัวใจ เป็นต้น 
  • ผู้ที่มีแผลถลอกบริเวณจุดที่ต้องการทำ หรือผู้ที่มีอาการผิวอักแสบ แผลผ่าตัด มีการฝังโลหะในผิวหนังก็ควรหลีกเลี่ยงด้วยเช่นกัน

 หลังทำ HIFU จะมีอาการบวมกี่วัน

หลังจากการทำ HIFU อาจจะทำให้มีอาการบวมแดงเล็กน้อย มีความรู้สึกชา หรือผิวช้ำหลังทำ  แต่อาการหน้าบวมดังกล่าวนี้จะยุบลงเองภายใน 7-14 วัน บางคนฟื้นฟูได้เร็วภายใน 1-2 วันก็จะเริ่มบวมน้อยลง และจะสังเกตเห็นได้ว่า บริเวณกรอบหน้าชัดขึ้น ถ้าหากยังมีอาการบวมมากขึ้นมีอาการผิด ปกติควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที

 การทำ HIFU มีผลข้างเคียงหลังทำหรือไม่

ผลข้างเคียงที่มักพบเห็นได้บ่อยหลังจากการยกกระชับหน้า คือ จะมีอาการหน้าบวม หน้าแดงเล็กน้อย เนื่องจากการยิงพลังงานเข้าสู่เซลล์ผิวนั้นจะใช้พลังงานความร้อน และทำให้ผิวบวมหรือแดงได้เป็นเรื่องปกติ ซึ่งอาการเหล่านี้จะทุเลาลงเองได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง ควรทาครีมกันแดดเป็นประจำเพื่อปกป้องผิวจากแสงแดด แต่ถ้าหากรู้สึกปวดบวม สามารถทานยาพาราเซตามอลแก้ปวดเพื่อบรรเทาได้ 

 ข้อสรุป

HIFU (ไฮฟู่) เป็นหัตถการทางความงามในเรื่องของการกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิวหนัง ที่ช่วยยกกระชับหน้า และบริเวณอื่นๆในร่างกาย โดยที่ไม่ต้องผ่าตัดหรือฉีดยา ทำให้ผิวกระชับขึ้น ริ้วรอยจางลง ร่องแก้มตื้น ช่วยปรับรูปหน้าให้มีความสมดุลมากขึ้น ทำให้กรอบหน้าชัด ซึ่งการทำ HIFU นั้นมีความปลอดภัยสูงมาก ไม่จำเป็นต้องพักฟื้น และมีผลข้างเคียงน้อยอีกด้วย

 

HIFU BOTOX ต่างกันยังไง

HIFU กับ BOTOX ยกกระชับใบหน้า ต่างกันอย่างไร เลือกทำอะไรก่อนดี ทำพร้อมกันได้ไหม

การยกกระชับผิวหน้า สามารถทำได้หลายวิธีการ ในการเลือกหัตถการเพื่อยกกระชับผิวหน้านั้น สามารถเลือกได้ตามความเหมาะสมและความต้องการของผู้รักษา แต่โดยทั่วไปแล้วหัตถการที่ได้รับความนิยมและมีประสิทธิภาพมากที่สุดก็คือการทำ HIFU และ BOTOX ทั้งสองหัตถการนี้ล้วนเป็นนวัตกรรมการยกกระชับผิวที่ดีที่สุด ณ ตอนนี้ แต่ก็จะมีความแตกต่างกันและเหมาะกับสภาพผิวที่ต่างกันไป บทความนี้จะมาสรุปความแตกต่างของ  HIFU และ BOTOX รวมไปถึงแนะนำข้อมูลต่างๆสำหรับผู้เริ่มต้นค่ะ

ทำความรู้จัก HIFU และ BOTOX คืออะไร

HIFU : 

HIFU (ไฮฟู่) คือ หัตถการการยกกระชับหน้า โดยผ่านการใช้เครื่องมือเฉพาะสำหรับการยกกระชับผิวและสัดส่วน ซึ่งจะเป็นการช่วย ยกกระชับหน้า แก้ม คาง และส่วนอื่นๆตามร่างกายอย่าง ต้นแขนหรือต้นขา เป็นนวัตกรรมยกกระชับ โดยใช้คลื่น ultrasound และคลื่นเสียง ที่มีความเข้มข้นสูงถึง 1000 ครั้งต่อวินาที สามารถตีกรอบหน้าให้คมชัด ยกกระชับผิวที่หย่อยคล้อยของใบหน้าให้ตึงขึ้น ทำให้ผิวบริเวณที่ทำนั้นกระชับและยืดหยุ่นมากขึ้น เพราะ HIFU นั้นจะเข้าไปช่วยกระตุ้นการสร้างอีลาสตินและกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิวหนัง ทำให้ริ้วรอยจางลง รูขุมขนกระชับขึ้น นอกจากนี้การทำ HIFU ก็ไม่จำเป็นต้องพักฟื้น เพราะไม่มีแผลหลังการทำนั่นเอง 

HIFU

BOTOX : 

BOTOX (โบท็อกซ์) คือ หัตถการการยกกระชับผิว (Botox) ที่เข้ามาช่วยรักษาริ้วรอยบนใบหน้า ลดรอยเหี่ยวย่นหน้าผาก บริเวณหางตา ลดรอยตีนกา ซึ่งหลัก ๆ คือจะช่วยลดริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงอารมณ์ต่าง ๆ บนใบหน้า เช่น หัวเราะ ยิ้ม โบท็อกซ์จะช่วยทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์มากขึ้น การฉีดโบท็อกซ์ช่วยในการปรับรูปหน้า ลดกรามโดยให้กล้ามเนื้อกรามมีขนาดเล็กลง กระชับกรอบหน้า ช่วยให้หน้าเรียว นอกจากนี้โบท็อกซ์ยังสามารถนำมาใช้ในทางการแพทย์อื่นๆได้ด้วย เช่นฉีดลดเหงื่อ รักษาไมเกรน เป็นต้น

BOTOX

 ความแตกต่างของ HIFU และ BOTOX ต่างกันอย่างไร

ทั้ง HIFU (ไฮฟู่)  และ BOTOX ต่างก็เป็นหัตถการยกกระชับหน้าและลดริ้วรอยทั้งคู่ แต่จะมีข้อแตกต่างกันตรงที่หลักการทำงานและวิธีใช้ที่แตกต่างกัน โดย BOTOX  จะเป็นยาที่เข้าไปออกฤทธิ์ต่อการทำงานของระบบประสาท ทำให้การทำงานของกล้ามเนื้อลดลง จึงสามารถลดริ้วรอยได้ ส่วน HIFU จะเป็นการใช้คลื่นอัลตราซาวด์ยิงเข้าไปในชั้นผิว SMAS ช่วยให้ผิวเกิดการยกกระชับผิวและลดริ้วรอย ทั้งสองหัตถการนี้มีหลักการทำงานที่แตกต่างกัน  ซึ่งการทำงานของ HIFU หลักแล้วจะช่วยเรื่องของการยกกระชับใบหน้า สำหรับผู้ที่มีปัญหาใบหน้าหย่อนคล้อย แก้มห้อย ไม่กระชับ ส่วนการฉีดโบท็อกสำหรับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย กรามใหญ่ ต้องการให้ใบหน้าเป็นทรงวีเชฟ แต่อย่างไรก็ตามทั้งสองหัตถการนี้ก็สามารถทำควบคู่กันได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องอยู่ภายใต้การรักษาและให้คำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่าน้ัน

HIFU BOTOX

หลักการทำงานของ HIFU มีการทำงานอย่างไร

หลักการทำงานของ HIFU

HIFU (ไฮฟู่) ทำงานโดยการปล่อยพลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวด์เข้มข้นสูงลงไปในชั้นผิวหนัง SMAS ทำให้ชั้นไขมันและชั้น SMAS เกิดการหดตัว จึงส่งผลให้ผิวบริเวณที่ยกกระชับหน้านั้นเต่งตึงขึ้น ดังนั้นการทำ HIFU จึงเน้นไปที่การ กระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิว ยกกระชับผิวให้ดูเต่งตึง หากทำ HIFU บริเวณใบหน้า แก้ม เหนียง จะช่วยลดแก้ม ลดเหนียงได้

เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาผิวต่าง ๆ ได้ครอบคลุม HIFU จึงออกแบบมาให้มีหัวยิงหลายขนาด ซึ่งปัญหาผิวหย่อนคล้อยของแต่ละคนไม่เหมือนกัน การทำ HIFU จะต้องใช้หัวยิงที่เหมาะกับสภาพผิว และตรงกับปัญหาของแต่ละบุคคล 

  • หัวยิงความลึก 1.5-2.0 mm. ใช้กับผิวหนังชั้นบน ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิว ช่วยเรื่องริ้วรอย ร่องแก้มลึก
  • หัวยิงความลึก 3.0 mm. ใช้กับผิวชั้นหนังแท้ กระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิว ช่วยลดเซลลูไลท์และไขมันได้ ช่วยยกกระชับหน้า ลดผิวหย่อนคล้อย
  • หัวยิงความลึก 4.5 mm.จะส่งพลังงานลงไปลึกได้ถึงชั้น SMAS และผ่านชั้นไขมัน เหมาะกับการใช้ยิงเพื่อยกกระชับผิว เก็บกระชับให้กรอบหน้าชัดขึ้น  สลายไขมัน และกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนในผิวชั้นลึก  
หัว HIFU

หลักการทำงานของ BOTOX มีการทำงานอย่างไร

BOTOX เป็นสารจากธรรมชาติที่เป็นโปรตีนบริสุทธิ์สกัดจากแบคทีเรียที่มีประโยชน์ชนิดหนึ่งซึ่งจะช่วยคลายกล้ามเนื้อบริเวณที่หดตัว โดยหลังการฉีดโบท็อกซ์แล้วตัวยาจะจับตัวกับปลายเส้นประสาทที่เชื่อมต่อกับกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อส่วนนั้นคลายตัว ส่งผลให้ริ้วรอยลดเลือน เมื่อกล้ามเนื้อไม่เกร็งตัวแล้ว โบท็อกซ์ยังจะช่วยส่งผลปรับลดขนาดกล้ามเนื้อ ช่วยให้คุณแลดูอ่อนเยาว์มากยิ่งขึ้น  หลังจากทำการรักษาประมาณ 1-2 สัปดาห์ กล้ามเนื้อของคุณจะรู้สึกผ่อนคลาย ร่องลึกจะเริ่มคลายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปและเมื่อเวลาผ่านไปกล้ามเนื้อจะเล็กลง ทำให้ผิวบริเวณนี้เรียบตึงโบท็อกซ์ยังสามารถช่วยลดการทำงานในส่วนของกล้ามเนื้อที่เราไม่ต้องการ ซึ่งจะช่วยยกกระชับหน้า และปรับรูปหน้าของคุณให้เรียวขึ้นได้อีกด้วย ทำให้ผิวหน้าดูเรียบตึงขึ้น แก้มหย่อนคล้อยน้อยลง ไม่มีริ้วรอย โดย BOTOX แต่ละยี่ห้อมีการทำงานที่คล้ายกัน แต่จะแตกต่างกันตรงที่กระบวนการเทคโนโลยี กรรมวิธีในการผลิต ความบริสุทธิ์ ชนิดโปรตีน ขนาดของโมเลกุลที่แต่ละยี่ห้อใช้ เป็นต้น

ข้อดี – ข้อเสียของ HIFU และ BOTOX

ข้อดี – ข้อเสีย ของการทำ HIFU

ข้อดี : ข้อดีของการทำ HIFU (ไฮฟู่)  คือไม่มีการใช้เข็ม ไม่มีเลือดออก ไม่เป็นรอยแผล หลังทำเสร็จสามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีประมาณ 10-20% ว่าผิวบริเวณที่ทำยกกระชับขึ้น ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานถึง 5-6 เดือน หรือในบางรายมากสุดนานถึง 1 ปี 

ข้อเสีย : การทำ  HIFU (ไฮฟู่)  จะมีข้อเสียเล็กน้อยตรงที่หลังทำอาจมีรอยแดงเกิดขึ้นได้ แต่สามารถหายได้เองภายในไม่กี่ชั่วโมง รวมถึงระหว่างการทำคนไข้จะรู้สึกเจ็บและตึง ๆ เล็กน้อย เพื่อผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นอาจจะต้องทำการรักษาอย่างน้อย 1-2 ครั้งต่อปี 

ข้อดี – ข้อเสีย ของการฉีด BOTOX

ข้อดี : 1. ฉีดเพื่อลดริ้วรอยทั่วใบหน้า 

2. ลดกรามและลิฟท์กรอบหน้าเพื่อให้กรอบหน้าชัดขึ้น 

3. ลดกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย 

4. ใช้ในทางการแพทย์ เช่น ฉีดเพื่อลดเหงื่อบริเวณรักแร้ ฉีดเพื่อรักษาไมเกรน เป็นต้น

5.เป็นสารที่สามารถสลายได้เองภายในระยะเวลา 6 เดือน ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย 

ข้อเสีย : หลังทำอาจมีรอยช้ำบริเวณที่ฉีด มีอาการปวด บวม และเป็นหัตถการที่ใช้เข็ม ผู้ที่มีอาการกลัวเข็มอาจจะต้องหลีกเลี่ยงหัตถการนี้

การเลือกทำ HIFU กับ BOTOX ควรเลือกทำอะไรก่อน

ในเคสที่กรอบหน้าไม่ชัด ต้องการปรับรูปหน้า อาจจะต้องทำ BOTOX ก่อน HIFU เนื่องจากการฉีด BOTOX จะช่วยลดกราม แก้ปัญหากรามใหญ่ เมื่อโบท็อกซ์ออกฤทธิ์เต็มที่ประมาณ 14 วัน หรือ 1 เดือนแล้วค่อยดูผลลัพธ์ว่าควรทำ HIFU เสริมตรงจุดไหนเพิ่มเติม เพื่อยกกระชับหน้าและปรับกรอบหน้าให้ชัดเจนยิ่งขึ้น รวมถึงเก็บริ้วรอยเล็ก ๆ บนใบหน้า ทั้งนี้ลำดับการทำหัตถการก่อน-หลังควรอยู่ในดุลยพินิจของหมอที่รับผิดชอบเคสของแต่ละบุคคล หรือคนไข้บางคนแพทย์สามารถที่ทำพร้อมกันในครั้งเดียวได้เลย

 การเลือกทำ HIFU กับ BOTOX สามารถทำพร้อมกันได้ไหม

ปัจจุบันยังไม่มี Clinical Guidelines สำหรับการทำหัตถการการยกกระชับหน้าหลายอย่างว่า ควรทำตามลำดับก่อน-หลังอย่างไร หากมีหลายปัญหาที่ต้องแก้ไขด้วยหลายวิธี ลำดับในการทำหัตถการมักขึ้นอยู่กับแพทย์ผู้ทำการประเมินและให้การรักษา ร่วมกับความคาดหวังและความกังวลของคนไข้เป็นหลัก ซึ่งต้องประเมินเป็นราย ๆ ไป แต่ในกรณีที่ฉีด BOTOX  ก่อน แนะนำให้เว้นระยะห่างจากการทำ HIFU 14-28 วัน เพื่อให้ BOTOX ออกฤทธิ์เต็มที่ก่อน 

การเลือกทำ HIFU กับ BOTOX แบบไหนดีกว่ากัน

ทั้งสองหัตถการช่วยแก้ปัญหาที่แตกต่างกัน ดังนั้นการตัดสินใจเลือกทำหัตถการใดจึงขึ้นอยู่กับว่าคนไข้ต้องการแก้ปัญหาตรงจุดไหน บริเวณไหน แม้ทั้งสองหัตถการสามารถช่วยยกกระชับหน้า และช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยได้ แต่ก็มีรายละเอียดและมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ควรพิจารณาจากปัญหาของตนเองเป็นหลัก รวมถึงราคา จำนวนครั้งที่ต้องทำ ระยะเวลาของผลลัพธ์ เป็นต้น 

ถ้าหากว่าเป็นผู้ที่เน้นการปรับรูปหน้า ลดแก้ม ลดเหนียง  ก็สามารถใช้ HIFU ช่วยแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยได้ แต่ถ้าเป็นผู้ที่ไม่มีปัญหาเรื่องรูปหน้ามากนักและต้องการเน้นเรื่องริ้วรอย หรือต้องการลดขนาดกราม ก็เหมาะกับการใช้ Botox

 การทำ HIFU กับ BOTOX เหมาะกับใคร

HIFU

  • เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย แก้มหย่อนคล้อย แต่ไม่มากนัก
  • เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดไขมันปรับรูปหน้า ลดแก้ม ลดเหนียง
  • เหมาะผู้ที่ต้องการยกกระชับผิว ลดไขมันส่วนเกิน บริเวณหน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา

BOTOX 

  • เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย ร่องแก้มลึก
  • เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดกราม ปรับรูปหน้า
  • เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเหงื่อออกมาก มีกลิ่นกาย โดยการฉีดโบท็อกซ์บริเวณรักแร้

 ข้อสรุป

ถึงแม้ว่า  HIFU (ไฮฟู่) และ BOTOX (โบท็อกซ์) จะเป็นหัตถการการยกกระชับหน้าเหมือนกัน แต่หลักการทำงานนั้นมีความแตกต่างกัน ซึ่งก็จะเหมาะกับผิวหน้าของแต่ละบุคคลที่แตกต่างกันไป ซึ่งหลักๆแล้ว  HIFU (ไฮฟู่) จะช่วยในเรื่องของการลดไขมันและปรับรูปหน้าให้เรียว ส่วน BOTOX (โบท็อกซ์) จะเน้นในเรื่องของการลดริ้วรอย และร่องแก้มลึก รวมถึงการฉีดเพื่อลดกรามนั่นเอง ซึ่งถ้าหากใครมีปัญหาดังที่กล่าวมาข้างต้นนั้น และลังเลว่าจะเลือกหัตถการแบบใด บทความนี้ได้มาให้คำตอบอย่างครบถ้วน แต่ถ้าหากต้องการทำการรักษาจริงๆสามารถเข้าพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการพิจารณาและทำการรักษาต่อไปได้ค่ะ 

 

ยกกระชับใบหน้าด้วยการทำ HIFU

HIFU ทำแล้วอยู่ได้นานไหม? ดูแลตัวเองอย่างไรให้ผลลัพธ์อยู่นาน

HIFU คืออะไร

สำหรับวันนี้เราก็จะมาไขทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับ  HIFU (ไฮฟู่) เทคโนโลยีใหม่ที่สามารถ  ยกกระชับหน้า เพื่อให้คนที่กำลังสงสัยได้เข้าใจและมั่นใจว่าการทำไฮฟู่นั้น มันสามารถช่วยแก้ปัญหา ผิวหย่อนคล้อย แก้มหย่อนคล้อย ร่องแก้มลึก และ ริ้วรอย ได้จริง สำหรับคนที่กำลังเจอปัญหาเหล่านี้ โดยเฉพาะกับผู้หญิง ทำให้ผู้หญิงหลายๆท่านสูญเสียความมั่นใจในตัวเอง เทคโนโลยีใหม่ของวงการเสริมความงาม ที่สามารถ ยกกระชับผิว ได้ทั่วทั้งบริเวณร่างกาย ผิวหน้าก็ได้ ผิวกายก็ได้ ปัจจุบันนี้การทำไฮฟู่กำลังเป็นที่นิยมและถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยลดริ้วรอยร่องแก้มลึกต่างๆ อีกทั้งยังช่วย กระตุ้นคอลลาเจน ทำให้คนที่กำลังเจอกับปัญหาใบหน้าหย่อนคล้อย กรอบหน้าไม่ชัด มีเหนียงเยอะ ต้องการอยากจะ ลดแก้ม ลดเหนียง การทำไฮฟู่สามารถขจัดปัญหาเหล่านี้ให้หายไปได้ โดยที่ไม่ต้องเข้ารับการผ่าตัด ไม่ต้องรอพักฟื้นนาน และที่สำคัญไม่มีแผลให้เห็น สำหรับคนที่ทำไฮฟู่คุณสามารถรู้ผลการเปลี่ยนแปลงได้ทันที 

 HIFU ยกกระชับ

 การทำ HIFU ช่วยแก้ปัญหาเรื่องอะไรบ้าง

สำหรับการทำไฮฟู่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาที่เกี่ยวกับความเสื่อมโทรมของใบหน้า หลายคนอาจจะสงสัยว่าความเสื่อมโทรมนี้เกิดจากอะไร ความเสื่อมโทรมของใบหน้าเกิดขึ้นได้จากหลายๆสาเหตุ แต่หลักๆแล้วมักจะเกิดขึ้นจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น ต้องรีบจัดการ กระตุ้นคอลลาเจน ถ้าอยากจะกลับมามีใบหน้าที่ดูสดใสและอ่อนเยาว์อีกครั้ง ส่วนใครที่กำลังพบเจอกับปัญหาสภาพผิวหน้าเสื่อมโทรม เช่น  ผิวหย่อนคล้อย ร่องแก้มลึก แก้มหย่อนคล้อย ริ้วรอย และ กรอบหน้าไม่ชัด การแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ดีที่สุดนั้นก็คือ การทำไฮฟู่ 

  • การทำไฮฟู่จะช่วยให้ผิวหน้าที่หย่อนคล้อยกลับมากระชับได้อีกครั้ง
  • การทำไฮฟู่จะช่วยขจัดริ้วรอยบนใบหน้าให้หมดไป
  • การทำไฮฟู่ไม่เพียงแค่ขจัดริ้วรอยและยกกระชับหน้าเท่านั้น แต่ยังช่วย ลดแก้ม ลดเหนียง ที่เป็นไขมันส่วนเกินได้
  • การทำไอฟู่สามารถ  ยกกระชับผิว ได้ทั่วทั้งร่างกาย เช่น ต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง และสะโพก 
ทำ HIFU ดียังไง

 หลักการทำงานของ HIFU มีการทำงานอย่างไร

การทำไอฟู่เป็นเทคโนโลยี ที่จะเข้ามาช่วย ยกกระชับผิว และช่วย กระตุ้นคอลลาเจน ในทุกชั้นผิวให้กลับมาทำงานได้ดีอีกครั้ง ทำให้ผิวหน้าที่เคยมีความหย่อนคล้อยและริ้วรอยตามบริเวณต่างๆให้หายไป การทำไฮฟู่ไม่ทำให้รู้สึกเจ็บ เพราะไม่มีการผ่าตัด หรือการใช้เข็มจิ้มเข้าเนื้อ ด้วยเหตุนี้หลายคนก็เลยสงสัยว่ากระบวนการทำงานของไฮฟู่เป็นอย่างไร สำหรับการทำงานของการทำไฮฟู่คือ การส่งผ่านคลื่นโฟกัสอัลตราซาวด์ลงไปในผิวชั้นในสุด เป็นการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ส่วนเครื่องทำไฮฟู่ก็เป็นเครื่องที่ได้รับการรองรับและผ่านมาตรฐานแล้ว การทำไฮฟูเพื่อ ยกกระชับหน้า และส่วนต่างๆตามร่างกายไม่ส่งผลเสียใดๆต่อร่างกาย ถ้าหากว่าเลือกใช้กับชั้นผิวที่เหมาะสม ซึ่งระดับชั้นผิวจะถูกออกเป็น 3 ระดับ ดังนี้

  • ผิวชั้นบน เป็นชั้นผิวที่อยู่ในระดับที่ไม่ลึก สำหรับคนที่มีปัญหา ผิวหย่อนคล้อย ร่องแก้มลึก แก้มหย่อนคล้อย และ ริ้วรอย การใช้หัวยิงพลังงานที่เหมาะสมจะใช้แค่ 1.5-2.0 mm เพื่อเป็นการกระตุ้นคอลลาเจนและลดริ้วรอย
  • ผิวชั้นกลาง เป็นชั้นผิวที่อยู่ในระดับลึกรองลงมาจากชั้นผิวชั้นแรก สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องไขมันส่วนเกินบริเวณคางและแก้ม ถ้าต้องการจะ ลดแก้ม ลดเหนียง การใช้หัวยิงพลังงานที่เหมาะสมจะใช้แค่ 3.0 mm ก็สามารถแก้ปัญหาได้แล้ว  
  • ผิวชั้นเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อ เป็นชั้นผิวที่ใช้สำหรับการผ่าตัดดึงหน้า สำหรับคนที่มีปัญหาหน้าย่น ถ้าต้องการให้หน้ากลับมากระชับ ในการทำไฮฟู่ใช้หัวยิงพลังงานที่ 4.5 mm ก็สามารถทำให้หน้ากลับมายกกระชับได้ 

 ใครบ้างที่เหมาะกับการทำ HIFU

การทำไฮฟู่เหมาะกับใครบ้าง การทำไฮฟู่สามารถทำได้ทุกเพศทุกวัย นอกจากนี้การทำไฮฟู่ หรือการ ยกกระชับผิว สามารถทำได้มากกว่า 1 ครั้ง และก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องทำกับคลินิกเดิมทุกครั้ง คุณสามารถทำกับคลินิกอื่นที่น่าเชื่อถือและปลอดภัยได้ ตอนนี้ไม่ว่าใครก็ตามที่กำลังอ่านอยู่ เราอยากให้คุณลองสังเกตตัวเอง ถ้าหากว่ามีปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นกับคุณ นั้นหมายความว่าคุณจัดอยู่ในกลุ่มที่เหมาะสมจะทำไฮฟู่

  • บนใบหน้าเริ่มมี ริ้วรอย ให้เห็น มีร่องใต้ตาและ  ร่องแก้มลึก แก้มหย่อนคล้อย ที่ทำให้หน้าดูแก่ก่อนวัย
  • เริ่มรู้สึกว่าผิวหน้าไม่กระจ่างใส เริ่มมีอาการ ผิวหย่อนคล้อย เหตุเกิดมาจากผิวขาดคอลลาเจน ต้องรีบ กระตุ้นคอลลาเจน จะได้กลับมามาผิวที่กระจ่างใสและกระชับอีกครั้ง
  • เริ่มรู้สึกว่า กรอบหน้าไม่ชัด เป็นเพราะว่ามีไขมันที่แก้มและที่คอมากเกิดไป ต้อง ลดแก้ม ลดเหนียง โดยการทำไฮฟู่ ยกกระชับหน้า ถึงจะทำให้กรอบหน้ากลับมาชัดอีกครั้ง 
HIFU เหมาะกับใคร

 การทำ HIFU สามารถทำบริเวณไหนได้บ้าง

การทำ HIFU (ไฮฟู่) หรือหาร ยกกระชับหน้า สามารถทำได้เกือบทุกส่วนบนใบหน้า รวมไปถึงบริเวณตามลำตัว และบริเวณอื่นๆ สามารถทำบริเวณใดได้บ้าง

  • บริเวณรอบดวงตาและใต้ตา สำหรับคนที่มี ริ้วรอย บริเวณดวงตา หรือเกิดอาการร่องใต้ตาลึก สามารถแก้ไขด้วยการทำไฮฟู่ได้ หลังจากที่ทำริ้วรอยรอบดวงตาจะตื้นขึ้น กระชับขึ้น ไม่มีร่องและริ้วรอยให้เห็น  
  • บริเวณแก้ม สำหรับคนที่มีปัญหาไขมันส่วนเกินบริเวณแก้ม ทำให้  แก้มหย่อนคล้อย ถ้าต้องการอยากให้ไขมันส่วนเกินหายไป การทำไฮฟู่จะช่วย ลดแก้ม ลดเหนียง ทำให้มองเห็นกรอบหน้าที่ชัดขึ้น  
  • บริเวณคอ  สำหรับคนที่มีไขมันช่วงคอเยอะ หรือจะเรียกสั้นๆว่ามีเหนียงเยอะ ทำให้เวลามองแล้วรู้สึกว่า 8 ถ้าต้องการอยากจะกลับมา  กรอบหน้าชัด สามารถ ยกกระชับผิว ด้วยการทำไฮฟู่ได้   
  • บริเวณตามลำตัว สำหรับคนที่มีไขมันเยอะตามช่วงลำตัว เช่น ต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง และสะโพก ถ้าต้องการจะเอาออกตรงส่วนนี้ การทำไฮฟู่เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด 

หลังทำ HIFU กี่วันถึงจะเห็นผลลัพธ์ในการทำ

การทำไฮฟู่นั้นสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ในทันที 20% หลังจากที่ทำเสร็จ จะพบว่าผิวจะยกกระชับในระดับหนึ่งแต่มันยังไม่ถึงที่สุด จะต้องผ่านไป 1-2 เดือน ถึงจะเห็นผลลัพธ์หลังจากการทำแบบสมบูรณ์ บนใบหน้าริ้วรอยจะเห็นได้น้อยลง รูขุมขนที่เคยมีก็จะหายไป กรอบหน้าที่ไม่เคยชัดกลับมา กรอบหน้าชัด ได้อีกครั้ง เป็นเพราะการทำไฮฟู่เลยที่ช่วย ลดแก้ม ลดเหนียง ออก แถมผิวยังกลับมากระจ่างใส ดูอ่อนกว่าวัย ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้เพราะการทำไฮฟู่ เข้าไป กระตุ้นคอลลาเจน ใต้ชั้นผิว ทำให้กลับมาทำงานได้ดีเหมือนเดิม การ ยกกระชับหน้า ที่ดีที่สุดก็คือการทำไฮฟู่ ลงทุนเพียงแค่ครั้งเดียวก็สามารถทำให้ทุกปัญหาที่มีหายไปจนหมดสิ้น


 การทำ HIFU อยู่ได้นานแค่ไหน

การทำ HIFU (ไฮฟู่) ผลลัพธ์การทำไฮฟู่ใน 1 ครั้ง สามารถอยู่ได้ยาวนานถึง 4-6 เดือน และใน 6 เดือนนี้จะไม่มีแม้แต่ ริ้วรอย เกิดขึ้นบนใบหน้า รวมไปถึงพวกรูขุมขนด้วยเช่นกัน ส่วนคนที่มีปัญหาเรื่อง กรอบหน้าไม่ชัด ถ้าหากรักษาด้วยการทำไฮฟู่ จะช่วย ลดแก้ม ลดเหนียง ได้ดี ผลลัพธ์ที่ได้คือ กรอบหน้าชัด อยู่ได้นานถึง 6 เดือน สามารถกลับมาทำซ้ำได้ทุก 3 เดือน สำหรับคนที่กังวลว่าผลลัพธ์จะอยู่ได้ไม่นาน มาถึงตรงนี้ก็คงจะหมดห่วงได้แล้ว 


วิธีดูแลตัวเองหลังการทำ HIFU

ในเรื่องของการปฏิบัติหลังการทำไฮฟู่เป็นการยิงคลื่นเสียงเท่านั้น ทำให้ไม่มีรอยแดง หรือรอยช้ำหลังการทำ วางใจได้ในเรื่องของแผลติดเชื้อ แต่ถ้าถามว่าสิ่งที่ต้องปฏิบัติตามและควรระวังมีหรือไม่ อันนี้ก็ต้องบอกว่ามี ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้นเราจะแสดงให้ดู

  • สำหรับคนที่ทำไฮฟู่ หากมีอาการตึงตามบริเวณที่ทำอย่าพึ่งตกใจ เพราะมันเป็นเรื่องปกติหลังการรักษา แต่ถ้าหากว่ารู้สึกตึงจนทนไม่ไหว สามารถรับประทานยาแก้ปวดได้
  • ห้ามนวดหน้า หรือถูหน้าแรงๆเด็ดขาด และไม่ควรออกแดดจัดในระยะเวลา 1-2 สัปดาห์แรก ถ้าไม่อยากให้การ กระตุ้นคอลลาเจน เกิดการเสื่อมสภาพ
  • ห้ามดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่เด็ดขาด เพราะมันจะเข้าไปทำลายการสร้างคอลลาเจนที่กระตุ้นไปได้
  • การทำไฮฟู่ไม่มีกฎข้อห้ามในเรื่องของการบำรุงผิวหน้า สามารถทาครีมได้ 

 ข้อสรุป

สุดท้ายนี้ เราหวังว่าการที่เราได้ออกมาไขทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับการทำ HIFU (ไฮฟู่) จะทำให้หลายๆคนหายข้องใจและกล้าที่จะไปทำมากขึ้น อย่างที่บอกถ้าหากว่าคุณมีปัญหาเรื่อง ผิวหย่อนคล้อย ร่องแก้มลึก แก้มย้อย รูขุมขนลึก หรือมี ริ้วรอย เล็กๆรอบๆดวงตา วิธีการแก้ที่ดีที่สุดก็คือ การรักษาด้วยการทำไฮฟู่ ลงทุนเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น แก้ปัญหาได้ทุกจุด การทำไฮฟู่สามารถทำได้ทุกคน เห็นผลลัพธ์ได้ทันทีหลังจากที่ทำ ไม่เจ็บและไม่ต้องรอพักฟื้นหลายวัน ส่วนคำถามที่ว่าหลังการทำไฮฟู่ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานแค่ไหน ตรงนี้เราก็ได้บอกไปแล้ว ผลลัพธ์หลังจากการรักษาคงอยู่ได้นานถึง 6 เดือน หลังจากที่ครบกำหนดสามารถกลับมาทำซ้ำได้ หรือไม่จำเป็นต้องรอให้ครบ 6 เดือนก็ได้ ครบ 3 เดือนแล้วก็สามารถกลับมา ยกกระชับหน้า ด้วยการทำไฮฟู่ได้เลย เพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ส่วนวิธีการดูแลหลังการทำ ตรงนี้เราก็ได้อธิบายไปหมดแล้ว สำหรับคนที่ทำมาแล้วหากดูแลตามที่บอก จะทำให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานเช่นกัน เรื่องของผิวเป็นเรื่องที่สำคัญ ไม่ว่าจะกับผู้หญิง หรือผู้ชาย ไม่อยากให้ทุกคนละเลย ในเมื่อปัจจุบันนี้มันมีวิธีที่ดีอย่างการทำไอฟู่ ที่สามารถ ยกกระชับผิว ได้ทั้งใบหน้าและตามส่วนต่างๆของร่างกาย ก็อยากให้ทุกคนเก็บไปพิจารณา เรื่องความปลอดภัย ทุกคนวางใจได้วิธีนี้ปลอดภัย100% อีกทั้งในวันนี้เราก็ได้ไขทุกข้อสงสัยที่หลายๆคนอยากรู้ไปหมดแล้ว ดังนั้นคนที่เคยมีความกังวลเกี่ยวกับการทำไฮฟู่ หวังว่าวันนี้จะเลิกเป็นกังวลและเริ่มมองหาคลินิกที่ปลอดภัยและได้มาตรฐานได้แล้ว

รีวิวยกกระชับใบหน้า
รีวิว HIFU
รีวิว HIFU