Posts

รักษารอยแผลเป็นด้วย เลเซอร์ลดรอย

รักษารอยแผลเป็น เพิ่มความมั่นใจให้ผิว รอยแผลเป็นแบบไหนก็เรียบเนียน

เชื่อว่าหนุ่มๆ สาวๆ หลายคน คงอยากมีผิวที่เนียนใสไร้รอยแผลเป็นกันใช่มั้ยคะ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การที่จะมีผิวที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติเลยนั้นเป็นเรื่องที่ยากมากค่ะ เพราะผิวของเราอาจเกิดรอยแผลเป็นได้จากหลายสาเหตุ เช่น สิวอักเสบ แผลจากการบาดเจ็บ หรือแม้กระทั่งการแพ้สารเคมีต่างๆ ยิ่งไปกว่านั้น รอยแผลเป็นเหล่านี้ก็อาจจะฝังลึกจนรักษาได้ยาก ทำให้เรามีผิวที่ไม่เรียบเนียน ส่งผลต่อความมั่นใจของเราเป็นอย่างมาก เนื่องจากแผลเป็นบางชนิดเมื่อเป็นแล้วร่างกายจะไม่สามารถรักษาให้หายเองได้ ยังคงทิ้งร่องรอยต่างๆ เอาไว้ซึ่งเป็นปัญหาที่หนักใจของใครหลายๆ คน ดังนั้น ในบทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับรอยแผลเป็นแต่ละประเภทว่าเกิดจากอะไรได้บ้าง รวมไปถึงแชร์วิธีการรักษา รอยแผลเป็นแต่ละประเภทให้ค่อยๆ จางลง จะมีวิธีไหนบ้าง ไปชมกันได้เลย

รักษาแผลเป็น โดยแพทย์เฉพาะทางที่ เอยาคลินิก ทำให้มั่นใจกับผู้ที่เข้ามาทำการรักษามั่นใจได้ว่า การรักษาแผลเป็น รอยจางลง ผิวเรียบเนียนขึ้น

แผลเป็นไม่ว่าจะเกิดขึ้นบริเวณไหนก็ไม่มีใครอยากเป็น ยิ่งถ้ามีรอยแผลเป็นในบริเวณที่สามารถเห็นได้ชัด เช่น บริเวณ แขน ขา ใบหน้า ก็รู้สึกไม่โอเคเลยใช่ไหมค่ะ จริงๆแล้วแผลเป็นเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น รอยสิว จากอุบัติเหตุ จากแผลที่เกิดจากไฟไหม้ หรือแม้แต่การทำศัลยกรรม และสาเหตุอื่นๆอีกมากมาย เมื่อแผลเริ่มแห้งและดีขึ้นก็จะทิ้งรอยเอาไว้ทำให้ผิวหนังบริเวณที่เกิดรอยแผลมีการเปลี่ยนแปลงไป อาจจะมีรอยนูนบนผิว ขนาดเล็กขนาดใหญ่ตามรอยแผล รอยที่เกิดขึ้นนี้เป็นความผิดปกติของเนื้อเยื้อในระหว่างที่ทำการซ่อมแซมตัวเองจนเกิดเป็นแผลเป็นในที่สุด

รอยแผลเป็นมีชนิดใดบ้าง  

 รอยแผลเป็นปกติ

รอยแผลเป็นแบบปกติ สามารถเกิดได้จากสาเหตุที่ไม่รุนแรงนัก เช่น รอยจากการเกา หกล้ม เกิดอุบัติเหตุ หรือรอยดำที่ลงเหลือจากการเกิดสิว โดยรอยแผลเป็นเหล่านี้สามารถจางหายไปได้เองในสภาพแวดล้อมที่ปกติ โดยจะเปลี่ยนจากสีที่เข้มมาก และค่อยๆ จางลงเป็นสีอ่อน สุดท้ายก็จะหายไปได้เองค่ะ

 รอยแผลเป็นแบบคีลอยด์

รอยแผลเป็นแบบคีลอยด์ เป็นรอยแผลเป็นที่นูนขึ้นมาจากผิวหนังโดยรอบและมีขนาดใหญ่กว่ารอยแผลเดิม มักมีสีแดงหรือสีม่วงเข้ม และอาจมีอาการคันหรือเจ็บได้ค่ะ รอยแผลเป็นชนิดนี้มักเกิดจากการที่ร่างกายสร้างคอลลาเจนมากเกินไปในบริเวณที่เกิดแผลหรือเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม 

 รอยแผลเป็นแบบนูนโต

รอยแผลเป็นแบบนูนโต เป็นรอยแผลเป็นที่นูนขึ้นมาจากผิวหนังโดยรอบ โดยมีสาเหตุมาจากการที่ร่างกายสร้างคอลลาเจนมากเกินไปเช่นเดียวกับแผลคีลอยด์เลยค่ะ แต่จะแตกต่างกันตรงที่รอยแผลเป็นแบบนูนโตมีคอลลาเจนน้อยกว่า โดยทั่วไปแล้วก็จะมีลักษณะแผลที่คล้ายกันอีกทั้งยังสามารถคันและเจ็บปวดได้เช่นกัน แต่ว่ารอยแผลเป็นแบบนูนโตจะคันเฉพาะจุดที่เป็นแผล แต่รอยแผลเป็นแบบคีลอยด์จะคันและเจ็บเป็นวงกว้างนั่นเองค่ะ

 รอยแผลเป็นแบบหลุม

รอยแผลเป็นแบบหลุม เป็นรอยแผลเป็นที่บุ๋มลงไปจากผิวหนังโดยรอบ รอยแผลเป็นชนิดนี้มักเกิดจากการที่ร่างกายสร้างคอลลาเจนน้อยเกินไปในบริเวณที่เกิดแผล ซึ่งตรงกันข้ามกับรอยแผลเป็นแบบนูนโตและแบบคีลอยด์เลยค่ะ นอกจากนี้ยังอาจเกิดขึ้นได้หลังจากเป็นสิว ทำให้ผิวบริเวณนั้นสูญเสียเนื้อเยื่อพยุงและยุบตัวลงไปจนสามารถสังเกตเห็นได้ชัดค่ะ

 รอยแผลเป็นแบบหดรั้ง

รอยแผลเป็นแบบหดรั้ง เป็นรอยแผลเป็นที่เกิดจากรอยแผลเป็นแบบนูนโตที่อยู่บนข้อต่อ เช่น บริเวณข้อศอกหรือหัวเข่า จึงทำให้รอยแผลเป็นชนิดนี้มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้สูง เนื่องจากการเคลื่อนที่ไม่ได้ของข้อต่อระหว่างการสมานแผล ทำให้รู้สึกเจ็บปวดมากกว่าปกติ และสามารถขยับร่างกายได้น้อยลง

คุณโอม- เป็นคนไข้ที่มีรอยแผลเป็นปกติบริเวณแขน และข้อมือ ที่เห็นได้ชัดเจน ซึ่งเกิดจากอุบัติเหตุซึ่งหลังจากที่รักษาแผลจนแห้ง และอาการของแผลดีขึ้น ทำให้เกิดรอยแผลตามมา ซึ่งทำให้คุณโอมไม่มั่นใจเพราะรอยแผลที่เกิดขึ้นอยู่ในจุดที่สามารถมองเห็นได้ จึงได้เริ่มหาข้อมูลการรักษารอยแผลเป็น เพื่อคืนความมั่นใจให้กับตัวเอง

สวัสดีครับ ผมชื่อโอมนะครับ และนี่เป็นประสบการณ์ในการรักษาแผลเป็นครั้งแรกของผมเอง ต้องบอกก่อนเลยว่าผมไม่เคยคิดที่จะรักษาแผลต่างๆ ด้วยการเลเซอร์เลยสักนิด เพราะคิดว่าแค่ทายาก็อาจจะหายไปได้เอง แต่เมื่อหลายเดือนก่อนผมได้เกิดประสบอุบัติเหตุตอนที่เดินทางไปทำงาน คือมีป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ล้มและกำลังจะทับมาที่ตัวผม ผมเลยเอาแขนมาบังตัวเองเอาไว้ จึงทำให้เกิดบาดแผลนี้ขึ้นบริเวณข้อมือ ในช่วงแรกผมก็รอจนแผลแห้งตกสะเก็ดไปเอง และใช้ยาทารอยแผลเป็นร่วมด้วย แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไปเกือบ 1 เดือน รอยแผลก็ไม่มีทีท่าว่าจะหายไปได้เลย ทำให้ผมต้องศึกษาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตในการรักษาเรื่องรอยแผลเป็นและเจอคำแนะนำว่าหากรักษาด้วยการเลเซอร์ รอยแผลเป็นเป็นวิธีการรักษาที่เห็นผลมากที่สุด เนื่องจากข้อมือเป็นบริเวณที่สามารถเห็นแผลเป็นได้ชัดมาก จึงทำให้ผมขาดความมั่นใจ จึงได้ติดต่อไปทาง “เอยาคลินิก” ซึ่งเป็นคลินิกที่รักษาเกี่ยวกับรอยแผลเป็นต่างๆ ทำให้ผมตัดสินใจรักษาด้วยการ เลเซอร์ รอยแผลเป็น โดยทันที ด้วยความที่เป็นคลินิที่ มีมาตรฐาน มีรีวิวเพียบ และที่สำคัญคุณหมอเป็นผู้ทำการรักษาเองทุกขั้นตอน ซึ่งคุณหมอก็แนะนำว่ารอยแผลเป็นของผมนั้นต้องทำการรักษาหลายครั้งมาก รอยแผลจะจางลงและดีขึ้น ซึ่งผมก็ได้ทำการเลซอร์ไปทั้งหมด 7-8 ครั้ง ต้องบอกเลยว่าผลลัพธ์ที่ได้นั้นเกินคาดมากๆ เลยทีเดียว รอยแผลเป็นที่เคยกวนใจตอนนี้ก็หายหมดแล้ว ทำให้ผมมั่นใจมากขึ้นด้วยครับ ประทับใจการรักษาและการบริการที่เอยาคลินิกมากๆ 

วิธีการรักษารอยแผลเป็น 

วิธีการรักษาของ เอยาคลินิก ที่ทำการรักษาให้กับ คุณโอม คุณหมอใช้วิธีการรักษาด้วยการใช้ Q-switch Laser การใช้เลเซอร์ในการรักษานี้จะเป็นการกระตุ้นการสร้างผิวใหม่ เรียกได้ว่าเป็นการรักษาที่ดีสำหรับการรักษาเรื่องของรอยแผลเป็น และรอยต่างๆโดยเลเซอร์ชนิดนี้นะคะ เป็นคลื่นพลังงานความร้อนเพื่อทำลายเม็ดสีให้แตกตัว และไม่ทำอันตรายต่อผิวหนัง 

ซึ่ง Q-Switch Laser มีคลื่นพลังงานชนิดความยาวคลื่น 532 / 1064 ซึ่งความแตกต่างของพลังงานคือ

Q-switch ชนิดความยาวคลื่น 532

Q-switch ชนิดความยาวคลื่น 532 นาโนเมตร เป็นนวัตกรรมการเลเซอร์ที่ช่วยทำลายเม็ดสีในชั้นผิวหนังที่อยู่ชั้นตื้น เหมาะกับการเลเซอร์รอยต่างๆ ที่ยังไม่ฝังลึกมากนัก เช่น รอยฝ้า รอยดำ รอยแดง ปานแดง กระแดง เป็นต้น

Q-switch ชนิดความยาวคลื่น 1064

Q-switch ชนิดความยาวคลื่น 1,064 นาโนเมตร  เป็นนวัตกรรมการเลเซอร์ที่มีส่วนช่วยในการรักษารอยต่างๆ บนผิวหนังที่ฝังลึก มีสีเข้มชัดและจางลงได้ยาก เช่น รอยแผลเป็น หรือรอยสัก เป็นต้น โดย Q-switch ชนิดนี้จะมีความยาวคลื่นค่อนข้างสูงมาก ทำให้รอยต่างๆ ในระดับชั้นผิวหนังลึกดูจางลงอย่างเห็นได้ชัด หากคนไข้ต้องการรักษารอยแผลเป็น หมอแนะนำความยาวคลื่น 1,064 นาโนเมตร จะได้ประสิทธิภาพมากที่สุดค่ะ

 ข้อสรุป  

โดยทั่วไปแล้วคนไข้จะสามารถสังเกตได้เลยว่า ไม่ว่าจะเป็นแผลที่เกิดจากการเกา เกิดจากสิว หรือเกิดจากอุบัติเหตุ มักจะทิ้งรอยดำเอาไว้ โดยบางรอยก็สามารถหายไปได้เอง เนื่องมาจากการที่ร่างกายเกิดการรักษาตัวเองนั่นเองค่ะ แต่รอยแผลเป็นที่เกิดจากอุบัติเหตุเป็นรอยแผลลึก หมอแนะนำว่าหากหายจากการอักเสบแล้วควรรีบเข้ามาปรึกษาแพทย์โดยทันที หากปล่อยทิ้งไว้นานๆ รอยแผลนั้นก็จะฝังลึกและลุกลามจนเป็นรอยแผลใหญ่ได้ค่ะ ยิ่งทำการรักษาได้เร็วจะเห็นผลได้ดียิ่งขึ้น เพราะการรักษารอยแผลเป็นต้องใช้เวลาในการรักษาอย่างน้อย 2 เดือนขึ้นไปเลยทีเดียว ขึ้นอยู่กับลักษณะแผลและความรุนแรงของการเกิดแผลค่ะ

ถึงแม้ว่าหลังจากการรักษาแล้ว ผิวของคนไข้อาจจะไม่ได้กลับมาเนียนใสเท่าเดิม 100% แต่ก็จะทำให้แผลเป็นจางลงอย่างเห็นได้ชัดและใช้เวลาในการรักษารวดเร็วและมีประสิทธิภาพกว่าการทายาแน่นอนค่ะ ที่สำคัญ จะต้องเลือกรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังเท่านั้น เพื่อลดผลข้างเคียงจากการรักษาได้ค่ะ