ผิวโทรมทำยังไงดี? 3 หัตถการคืนความสดใสให้ผิวแบบเร่งด่วน
ในยุคที่ทุกคนต่างใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบและเผชิญกับปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพผิว เช่น ความเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ มลภาวะ หรือแม้กระทั่งการดูแลผิวที่ไม่เหมาะสม ทำให้หลายคนประสบปัญหา “ผิวโทรม” หรือผิวที่ดูเหนื่อยล้า ขาดความสดใส ซึ่งส่งผลต่อความมั่นใจและภาพลักษณ์โดยรวมอย่างมาก
แต่โชคดีที่เทคโนโลยีด้านความงามในปัจจุบันได้พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด ทำให้มีหัตถการที่สามารถช่วยฟื้นฟูผิวเร่งด่วนได้อย่างปลอดภัย ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักกับ 3 หัตถการยอดฮิตที่ช่วยคืนชีวิตชีวาให้ผิวของคุณกลับมาสดใส เปล่งประกายอีกครั้งได้ในเวลาอันรวดเร็ว
ผิวโทรมคืออะไร และเกิดจากอะไร?
“ผิวโทรม” เป็นคำที่ใช้เรียกภาวะของผิวหนังที่ดูเหนื่อยล้า หมองคล้ำ ขาดชีวิตชีวา และดูแก่กว่าวัย อาการนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในคนที่อายุมากเท่านั้น แต่สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกช่วงอายุ โดยลักษณะเด่นของผิวโทรมอาจรวมถึงความแห้งกร้าน สีผิวไม่สม่ำเสมอ รูขุมขนกว้าง และการเกิดริ้วรอยก่อนวัย ส่วนสาเหตุที่ทำให้ผิวโทรมนั้นก็มีทั้งปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน ดังนั้น การดูแลผิวอย่างเหมาะสมจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
สาเหตุของผิวโทรม
สาเหตุผิวโทรม มักเป็นผลจากปัจจัยหลายประการที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพผิวโดยตรง ทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก ดังนั้น การเข้าใจสาเหตุเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถป้องกันและฟื้นฟูผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การพักผ่อนไม่เพียงพอ
การนอนหลับคือช่วงเวลาสำคัญที่ร่างกายใช้ซ่อมแซมเซลล์ผิวและฟื้นฟูความแข็งแรงของชั้นผิว หากเราพักผ่อนไม่เพียงพอ กระบวนการฟื้นฟูนี้จะหยุดชะงัก ส่งผลให้ผิวดูหมองคล้ำ เกิดถุงใต้ตา และริ้วรอยที่เห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การนอนน้อยยังลดการผลิตฮอร์โมนเมลาโทนิน ซึ่งเป็นสารสำคัญที่ช่วยปกป้องผิวจากการถูกทำลาย
เคล็ดลับ : ควรนอนหลับให้ได้อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมง และเข้านอนในเวลาเดิมทุกคืน
ความเครียด
เมื่อร่างกายเผชิญกับความเครียด จะมีการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ในระดับสูง ซึ่งส่งผลกระทบต่อผิวโดยตรง ฮอร์โมนนี้จะลดความสามารถในการกักเก็บความชุ่มชื้น ทำให้ผิวแห้งและเกิดริ้วรอยได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ความเครียดยังส่งผลให้การไหลเวียนเลือดในผิวลดลง ทำให้ผิวขาดออกซิเจนและสารอาหารที่จำเป็น
เคล็ดลับ : ทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลาย เช่น การทำสมาธิ การออกกำลังกาย หรือแม้แต่การพักสายตาจากหน้าจอก็สามารถช่วยลดความเครียดได้
มลภาวะทางแสงแดด
รังสี UV ในแสงแดดเป็นศัตรูตัวฉกาจของผิวที่ทำให้ผิวเสื่อมโทรมเร็วขึ้น เป็นอีกหนึ่งสาเหตุผิวโทรมที่แทบจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ รังสีนี้สามารถทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว ทำให้เกิดริ้วรอย จุดด่างดำ และความหมองคล้ำ นอกจากนี้ การสัมผัสแสงแดดโดยไม่มีการป้องกันยังเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคผิวหนัง รวมถึงมะเร็งผิวหนังอีกด้วย
เคล็ดลับ : ใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปทุกวัน และหลีกเลี่ยงการออกแดดในช่วงเวลาที่แดดแรงจัด (10.00-16.00 น.)
อายุที่เพิ่มขึ้น
เมื่ออายุมากขึ้น การผลิตคอลลาเจน อีลาสติน และสารสำคัญในผิว เช่น กรดไฮยาลูโรนิก จะลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่งผลให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น เกิดริ้วรอย และความหย่อนคล้อย นอกจากนี้ กระบวนการผลัดเซลล์ผิวก็ทำงานช้าลง ทำให้ผิวดูหมองคล้ำและไม่สดใส
เคล็ดลับ : ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเรตินอล (Retinol) และเปปไทด์ (Peptides) สามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้
การใช้ผลิตภัณฑ์ผิดประเภท
การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะกับสภาพผิวอาจทำให้เกิดการระคายเคืองหรือปัญหาผิวเรื้อรัง เช่น การใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับผิวมันในคนที่มีผิวแห้ง อาจทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น และเกิดความแห้งกร้านมากขึ้น หรือการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีรุนแรงก็สามารถทำลายชั้นปกป้องผิวได้เช่นกัน
เคล็ดลับ : ก่อนเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ ควรตรวจสอบส่วนผสมและคำแนะนำบนฉลากเสมอ หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังเพื่อให้ได้คำแนะนำที่เหมาะสม
ผิวโทรมเกิดขึ้นในใครได้บ้าง
ผิวโทรมเป็นปัญหาที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่จำกัดเพศหรือวัย โดยปัจจัยที่เกี่ยวข้องจะขึ้นอยู่กับวิถีชีวิต สุขภาพร่างกาย และสิ่งแวดล้อมของแต่ละคน
- วัยรุ่น
ปกติแล้วช่วงวัยรุ่นเป็นช่วงวัยที่พบปัญหาผิวโทรมได้น้อยมากที่สุด แต่อาจจะมีผิวหมองคล้ำลงบ้างเป็นช่วงเนื่องมาจากการพักผ่อนไม่เพียงพอจากการเรียนหนักหรือทำกิจกรรมดึก เกิดจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงในช่วงวัยเจริญเติบโต ทำให้ผิวมันหรือเกิดสิวได้ง่าย รวมไปถึงขาดการดูแลผิวที่เหมาะสม เช่น ไม่ใช้ครีมกันแดด
- วัยทำงาน
ความเครียดจากการทำงานทำให้ฮอร์โมนคอร์ติซอลเพิ่มขึ้น จึงส่งผลต่อสุขภาพผิว ทำให้ผิวโทรมได้ง่าย หรือแม้แต่การใช้เวลาหน้าจอคอมพิวเตอร์และมือถือเป็นเวลานาน ยังส่งผลให้ผิวเมื่อยล้าและโทรมได้ง่ายอีกด้วย และที่สำคัญ วัยทำงานส่วนมากจะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่จึงอาจจะต้องเจอกับฝุ่น ควัน และมลภาวะ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้ผิวโทรมได้อีกด้วย
- ผู้สูงอายุ
เมื่ออายุเริ่มมากขึ้น กระบวนการผลัดเซลล์ผิวและการผลิตคอลลาเจนลดลง ทำให้ผิวแห้งและเกิดริ้วรอยได้ง่าย สารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายลดลง ส่งผลให้ผิวอ่อนแอและเสื่อมโทรมเร็วขึ้น นอกจากนี้ยังอาจมีปัญหาผิวเรื้อรัง เช่น จุดด่างดำ หรือผิวหย่อนคล้อยตามมาได้อีกด้วย
ผิวโทรมไม่ใช่ปัญหาที่เกิดขึ้นจากปัจจัยเดียว แต่เป็นผลลัพธ์ของหลายปัจจัยร่วมกัน การตระหนักถึงปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้จะช่วยให้เราป้องกันและแก้ไขปัญหาผิวโทรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วิธีดูแลตัวเองเบื้องต้นเพื่อฟื้นฟูผิวโทรม
วิธีแก้ผิวโทรมที่ดีที่สุดควรเริ่มต้นจากการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม เพื่อคืนความชุ่มชื้นและความสดใสให้กับผิว โดยทั่วไปแล้วสามารถทำได้ดังนี้
- พักผ่อนให้เพียงพอ นอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน เพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูเซลล์ผิวอย่างเต็มที่ พร้อมจัดตารางเวลานอนให้สม่ำเสมอเป็นประจำทุกคืนและหลีกเลี่ยงการนอนดึก
- ควรดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและขับสารพิษออกจากร่างกาย โดยพกขวดน้ำติดตัวและจิบตลอดวันเพื่อป้องกันการขาดน้ำ
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพิ่มการบริโภคอาหารที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผักใบเขียว ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ และถั่ว เลือกรับประทานปลาและไขมันดี เช่น ปลาแซลมอน อะโวคาโด เพื่อเสริมโอเมก้า-3 ให้ผิวแข็งแรง
- ปกป้องผิวจากแสงแดดโดยการทาครีมกันแดดที่มี SPF 30 ขึ้นไปทุกวัน แม้อยู่ในที่ร่ม และใส่เสื้อผ้าปกปิดผิวหรือหมวกเมื่อออกไปกลางแจ้ง
- อีกหนึ่งวิธีดูแลผิวคือบำรุงผิวด้วยผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม เช่น ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) เพื่อเติมความชุ่มชื้นให้ผิว เลือกเซรั่มที่มีวิตามิน C หรือเรตินอล (Retinol) เพื่อฟื้นฟูผิวและลดความหมองคล้ำ
- ลดความเครียดโดยการทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลาย เช่น โยคะ การทำสมาธิ อ่านหนังสือที่ชื่นชอบ ใช้เวลาอยู่กับธรรมชาติหรือสัตว์เลี้ยงเพื่อปรับสมดุลจิตใจ
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ เพราะสารพิษจากบุหรี่และแอลกอฮอล์สามารถทำลายเซลล์ผิวและลดการผลิตคอลลาเจนในผิวได้
- ปรับการดูแลผิวให้เหมาะสม โดยทำความสะอาดผิวอย่างอ่อนโยน ไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีรุนแรง และสครับผิวเบาๆ เพียง 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว
- ออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างน้อยวันละ 30 นาที การออกกำลังกายช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิต นำออกซิเจนและสารอาหารไปหล่อเลี้ยงผิว โดยเลือกกิจกรรมที่ชอบ เช่น วิ่ง เดิน หรือเต้นแอโรบิก
3 หัตถการคืนความสดใสให้ผิวแบบเร่งด่วน
สำหรับผู้ที่ต้องการวิธีฟื้นฟูผิวหน้าหมองคล้ำอย่างเร่งด่วน การเลือกทำหัตถการที่ทันสมัยและตรงจุดสามารถช่วยคืนความสดใสให้ผิวได้ในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งในช่วงนี้หัตถการฟื้นฟูผิวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดมีอยู่ด้วยกัน 3 หัตถการ คือ Skin Booster, เลเซอร์ Rejuvenation และ Mesotherapy ที่มีคุณสมบัติและวิธีการที่แตกต่างกันไป ดังนี้
Skin Booster เติมความชุ่มชื้นล้ำลึก
Skin Booster เป็นการฉีดสารไฮยาลูโรนิกแอซิด (Hyaluronic Acid) เข้าไปใต้ผิวโดยตรง เพื่อช่วยเติมความชุ่มชื้นลึกถึงระดับเซลล์ผิว ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำ ฉ่ำวาว และมีชีวิตชีวา
ข้อดี
- ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวทันที ลดความแห้งกร้าน
- ฟื้นฟูผิวให้ดูเปล่งปลั่งและสุขภาพดี
- ลดเลือนริ้วรอยตื้นๆ และปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน
ข้อเสีย
- ต้องทำซ้ำทุก 3-6 เดือน เนื่องจากสารที่ฉีดจะสลายไปตามธรรมชาติ
- อาจเกิดรอยช้ำหรือบวมบริเวณที่ฉีดในระยะแรก
- ราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับการบำรุงผิวทั่วไป
เลเซอร์ Rejuvenation ฟื้นฟูผิวหมองคล้ำ
เลเซอร์ฟื้นฟูผิวหน้า Rejuvenation เป็นการใช้พลังงานเลเซอร์ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว พร้อมลดเลือนจุดด่างดำ กระชับรูขุมขน และฟื้นฟูความหมองคล้ำ ทำให้ผิวดูกระจ่างใสในทันที
ข้อดี
- เห็นผลรวดเร็วหลังทำเพียงไม่กี่ครั้ง
- ช่วยแก้ปัญหาผิวหลายประการ เช่น จุดด่างดำ รูขุมขนกว้าง และความหมองคล้ำ
- ไม่มีผลข้างเคียงร้ายแรง และไม่ต้องพักฟื้นนาน
ข้อเสีย
- อาจเกิดรอยแดงหรืออาการระคายเคืองชั่วคราวหลังทำ
- ไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวบอบบางหรือแพ้ง่าย
Mesotherapy (เมโสหน้าใส)
Mesotherapy เป็นการฉีดวิตามินและสารบำรุงผิว เช่น วิตามิน C, กลูตาไธโอน หรือสารแอนติออกซิแดนต์ เข้าไปในชั้นผิวโดยตรง เพื่อช่วยเพิ่มความกระจ่างใส ลดรอยหมองคล้ำ และฟื้นฟูผิวให้เปล่งปลั่ง
ข้อดี
- เห็นผลทันทีหลังทำ 1-2 ครั้ง ช่วยฟื้นฟูผิวเร่งด่วน ทำให้ผิวดูกระจ่างใสและสดใสขึ้น
- ช่วยปรับสมดุลผิวและลดปัญหาผิวคล้ำเสียสะสม
- เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์เร่งด่วน
ข้อเสีย
- ต้องทำซ้ำทุก 2-4 สัปดาห์เพื่อคงผลลัพธ์
- อาจเกิดรอยเข็มหรือรอยช้ำเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด
- ไม่เหมาะกับผู้ที่แพ้สารบางชนิดในส่วนผสม
วิธีเลือกหัตถการให้เหมาะสำหรับคุณ
การเลือกหัตถการฟื้นฟูผิวควรคำนึงถึงหลายปัจจัยร่วมกัน เพราะการเลือกวิธีดูแลผิวที่เหมาะสมไม่เพียงแต่จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดเท่านั้น แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงและเพื่อให้เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า มาดูกันว่าปัจจัยอะไรบ้างที่เราควรพิจารณาเมื่อต้องเลือกหัตถการฟื้นฟูผิวที่เหมาะสำหรับตัวเอง
- ประเมินสภาพผิวของตัวเอง
วิเคราะห์สภาพผิวของตัวเองว่ามีปัญหาอะไร เช่น ผิวโทรม ผิวแห้ง หมองคล้ำ มีริ้วรอย จุดด่างดำ หรือรูขุมขนกว้าง หากไม่มั่นใจ ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับคำแนะนำและประเมินความเหมาะสมก่อนเสมอ
- ตั้งเป้าหมาย
การตั้งเป้าหมายเป็นอีกปัจจัยที่จะมองข้ามไม่ได้เลย เพราะหลายคนต้องการฟื้นฟูผิวเร่งด่วน แต่สำหรับบางหัตถการแล้วอาจไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วขนาดนั้น ดังนั้นควรพิจารณาว่าตัวเราต้องการผลลัพธ์แบบเร่งด่วนหรือค่อยเป็นค่อยไป เช่น ต้องการเตรียมผิวสำหรับงานสำคัญ ให้เห็นผลลัพธ์แบบทันที การทำ Mesotherapy ก็ดูเป็นหัตถการที่เหมาะสมที่สุด
- พิจารณางบประมาณ
ตรวจสอบค่าใช้จ่ายและวางแผนงบประมาณ รวมถึงเวลาที่ต้องใช้ในการรักษา หากมีงบประมาณจำกัดและต้องการผลระยะยาว อาจเริ่มจากการเลเซอร์ฟื้นฟูผิวหน้า Rejuvenation ซึ่งทำเพียงไม่กี่ครั้งแต่ให้ผลลัพธ์ที่ค่อนข้างชัดเจนเลยทีเดียว
- ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงและผลข้างเคียง
หัตถการแต่ละประเภทต่างก็มีข้อจำกัดและความเสี่ยงที่แตกต่างกันไป เช่น รอยช้ำหลังฉีด Skin Booster หรืออาการระคายเคืองหลังทำเลเซอร์ ทางที่ดีที่สุดคือการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือแพทย์ที่ดูแลเพื่อประเมินว่าผิวของคุณเหมาะสมกับหัตถการใด
- เลือกสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน
ปัจจัยสุดท้ายที่สำคัญเป็นอันดับหนึ่งเลยก็คือการเลือกสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน ก่อนตัดสินใจทำหัตถการใดๆ ก็ตาม ควรเลือกสถานที่ที่มีใบอนุญาตและทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงตรวจสอบอุปกรณ์และสารที่ใช้ว่ามีความปลอดภัยและผ่านการรับรองด้วยหรือไม่
ข้อสรุป
ผิวโทรม เป็นปัญหาผิวที่เกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย เช่น การพักผ่อนไม่เพียงพอ ความเครียด มลภาวะ แสงแดด รวมถึงการดูแลผิวผิดวิธี ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย การดูแลตัวเองเบื้องต้นด้วยการปรับพฤติกรรม การบำรุงผิวอย่างเหมาะสม และการปกป้องผิวจากสิ่งกระตุ้นต่างๆ จะช่วยฟื้นฟูผิวให้กลับมาสดใสได้ สำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวเร่งด่วน อาจเลือกวิธีการทำหัตถการฟื้นฟูผิว เช่น Skin Booster, เลเซอร์ Rejuvenation และ Mesotherapy เพราะถือเป็นตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด แต่ควรเลือกวิธีที่เหมาะสมกับปัญหาผิวของตนเอง โดยปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและตอบโจทย์ที่สุด