5 วิธีรักษาสิวไม่ให้เป็นอีก

 5 วิธีรักษาสิว ไม่ให้สิวกลับมาเป็นอีก

สิว ปัญหากวนใจของใครหลายคน เพราะหลังจากที่สิวหายแล้ว ก็มักจะทิ้งรอยแผลเป็นและความไม่มั่นใจไว้บนใบหน้าของเราอยู่เสมอ การรักษาสิวตั้งแต่ต้นตอและรักษาอย่างถูกวิธีจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อป้องกันไม่ให้สิวกลับมาเป็นอีก บทความนี้เราจึงรวบรวม 5 วิธีรักษาสิวจากผู้เชี่ยวชาญมาฝากทุกคน เตรียมตัวโบกมือลาสิว เผยผิวเรียบเนียน ไร้สิวกวนใจ!

  การเกิดสิวมีสาเหตุมาจากอะไรบ้าง

เพราะปัญหาสิวนั้นเกิดขึ้นได้กับทุกคน และในแต่ละวันเราต้องเผชิญกับสิ่งสกปรกต่าง ๆ มากมาย อีกทั้งยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่เข้ามากระตุ้นทำให้สิวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยสาเหตุเหล่านั้น ได้แก่

  1. ฮอร์โมน : ฮอร์โมนแอนโดรเจนมีส่วนกระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันมากขึ้น จนเกิดการอุดตันในรูขุมขน ก่อให้เกิดสิวได้ โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่น
  2. แบคทีเรีย : เมื่อแบคทีเรีย P. acnes ซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่งในรูขุมขนของมนุษย์ มีการเจริญเติบโตในรูขุมขนที่อุดตัน จะทำให้เกิดการอักเสบ บวมแดง และเป็นสิวหนอง หรือสิวอักเสบได้
  3. การผลิตน้ำมัน : เมื่อต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไป ก็จะทำให้เกิดการอุดตันในรูขุมขนได้ รวมถึงเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว เมื่อผสมกับน้ำมันและสิ่งสกปรกต่าง ๆ ก็จะยิ่งอุดตันรูขุมขนมากยิ่งขึ้น
  4. พันธุกรรม : หากบุคคลในครอบครัว พ่อ แม่ มีปัญหาสิวอยู่แล้ว ก็ส่งผลให้ลูกเป็นสิวได้ง่ายกว่าคนทั่วไปได้
  5. อาหาร : อาหารที่มีน้ำตาลสูง อาหารแปรรูป และผลิตภัณฑ์จากนม อาจกระตุ้นให้เกิดสิวได้
  6. ความเครียด : ความเครียด เป็นตัวการสำคัญที่ส่งผลต่อฮอร์โมนของมนุษย์ จึงทำให้เกิดสิวได้ง่ายขึ้น
  7. ยา : การรับประทานยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด ก็ทำให้เกิดสิวได้
  8. การดูแลผิว : การล้างหน้าไม่สะอาด เครื่องสำอางและสิ่งสกปรกอุดตันรูขุมขน ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสมกับผิว ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อการเกิดสิวด้วยกันทั้งสิ้น

 การใช้เมโสหน้าใสรักษาสิว

เมโสหน้าใส คือ เป็นหนึ่งในวิธีรักษาสิว โดยการนำสารอาหารต่าง ๆ เช่น วิตามิน แร่ธาตุ กรดอะมิโน ฯลฯ ฉีดเข้าไปใต้ชั้นผิวหนังบริเวณใบหน้า โดยสารเหล่านี้จะช่วย  

  • ยับยั้งการทำงานของต่อมไขมัน 
  • ต้านเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว 
  • ลดการอักเสบของสิว 
  • ควบคุมความมันบนใบหน้า 
  • เติมเต็มความชุ่มชื้นให้ผิว
  • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
  • ผลัดเซลล์ผิว 
  • ทำให้ผิวหน้าแลดูเรียบเนียน ไร้สิว ผิวกระจ่างใสขึ้น 

ข้อดีของการใช้เมโสหน้าใสรักษาสิว

  • เหมาะกับผู้ที่มีสิวอักเสบ สิวอุดตัน สิวผด สิวเสี้ยน
  •  ไม่ต้องพักฟื้นหลังทำ 
  • ใช้เวลาในการทำไม่นาน 
  • ผลลัพธ์ที่ได้คือผิวหน้าที่เรียบเนียน ไร้สิว ผิวกระจ่างใส
  • เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

ข้อจำกัดของการใช้เมโสหน้าใสรักษาสิว

  • อาจเกิดรอยเข็มหรือรอยช้ำหลังทำ  
  • อาจเกิดอาการแพ้ตัวยา 
  • ไม่สามารถรักษาสิวชนิดรุนแรงได้ 
  • ผลลัพธ์อาจใช้เวลา 3-4 สัปดาห์ จึงจะสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน

  การใช้เลเซอร์รักษาสิว

หลายคนอาจเคยได้ยินว่า การทำเลเซอร์ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีรักษาสิวที่ได้รับความนิยมสูงมาก โดยเลเซอร์รักษาสิวที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือ Q-Switch Laser เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่นเฉพาะเจาะจง สามารถปล่อยพลังงานความร้อนสูงในระยะเวลาอันสั้น ช่วยทำลายต่อมไขมัน ฆ่าเชื้อสิว บรรเทาอาการอักเสบ และยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย P. acnes ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิว 

ข้อดีของการใช้เลเซอร์ Q-Switch Laser รักษาสิว

  • ช่วยลดสิวอักเสบ สิวอุดตัน รอยแดง รอยดำ จากสิว ได้อย่างรวดเร็ว 
  • เลเซอร์ Q-Switch Laser ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) ว่ามีความปลอดภัยสูง 
  • ไม่ต้องพักฟื้น หลังการรักษาสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ 
  • ผลลัพธ์คงอยู่ยาวนาน ช่วยควบคุมการเกิดสิวให้น้อยลง ผิวเรียบเนียน ไร้รอยสิว 
  • เหมาะกับทุกสภาพผิว แม้ผิวบอบบางแพ้ง่าย 

ข้อจำกัดของการใช้เลเซอร์ Q-Switch Laser รักษาสิว

  • ระหว่างการรักษาอาจรู้สึกแสบร้อนเล็กน้อย 
  • เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจน ควรทำการรักษาอย่างต่อเนื่อง 4-6 ครั้ง 
  • เลเซอร์รักษาสิว Q-Switch Laser ไม่เหมาะกับสตรีตั้งครรภ์ เนื่องจากอาจส่งผลต่อทารกในครรภ์ได้

  การรักษาสิวด้วยการกดสิว

การกดสิวคือการใช้เครื่องมือเฉพาะทาง กดเอาหัวสิวที่อุดตันออกมาจากรูขุมขน โดยผู้ทำการกดสิวจะต้องมีความรู้ความชำนาญ เพื่อหลีกเลี่ยงการบีบหรือกดแรงเกินไปจนทำให้เกิดรอยแผลเป็น โดยทั่วไปการกดสิวจะใช้เวลาราว 30-60 นาที ขึ้นอยู่กับจำนวนสิวและความยากง่าย

ข้อดีของการกดสิว

  • เห็นผลลัพธ์รวดเร็ว ช่วยกำจัดหัวสิวที่อุดตันออกไปทันที ทำให้ผิวหน้าดูเรียบเนียนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
  • การกดสิวช่วยลดการอักเสบของสิว ทำให้สิวยุบเร็วขึ้น
  • การกดสิวช่วยขจัดแบคทีเรียและสิ่งสกปรกที่อุดตันรูขุมขน ช่วยป้องกันการเกิดสิวใหม่

ข้อจำกัดของการกดสิว

  • หากกดสิวแรงเกินไป หรือทำโดยผู้ที่ไม่มีความชำนาญ อาจทำให้เกิดรอยสิว รอยแผลเป็นได้
  • หากกดสิวไม่ถูกวิธี อาจทำให้เกิดการอักเสบของสิวมากขึ้น
  • การกดสิวไม่เหมาะกับผิวที่บอบบาง แพ้ง่าย หรือมีสิวอักเสบรุนแรง

 การรักษาสิวด้วยการฉีดสิว

วิธีรักษาสิวด้วยการฉีดสิว คือ การนำยาเข้าไปฉีดบริเวณสิวโดยตรง โดยยาที่ใช้จะมีส่วนผสมของ “คอร์ติโคสเตียรอยด์”  (Corticosteroid) ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยลดอาการอักเสบ บวมแดง ทำให้สิวยุบตัวเร็ว เหมาะกับสิวอักเสบ สิวหัวหนอง สิวซีสต์ขนาดใหญ่

ข้อดีของการรักษาสิวด้วยการฉีดสิว

  • หลังจากการฉีด สิวอักเสบ สิวหัวหนอง จะยุบลงรวดเร็วภายใน  1-2  วัน 
  • การรักษาสิวด้วยวิธีการฉีดสิว จะไม่ทิ้งรอยแผลเป็น เหมาะกับผู้ที่กังวลเรื่องรอยสิว 
  • ยาที่ใช้ฉีดมีฤทธิ์ลดอาการอักเสบ ช่วยลดอาการปวด บวม แดงของสิว 
  • เห็นผลลัพธ์ได้ภายใน 1-2 อาทิตย์ 
  • สะดวก รวดเร็ว ใช้เวลาน้อยในการรักษา

ข้อจำกัดของการรักษาสิวด้วยการฉีดสิว

  • การฉีดสิว ไม่เหมาะกับการฉีดสิวอุดตัน สิวเสี้ยน  สิวผด  
  • อาจต้องฉีดซ้ำ 2-4  อาทิตย์ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของสิว 
  • อาจเกิดผลข้างเคียง เช่น ผิวหนังบริเวณที่ฉีดบางลง หรือมีรอยบุ๋ม  
  • การฉีดสิวเป็นการรักษาที่ปลายเหตุ  ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ สิวจึงอาจกลับมาเกิดซ้ำได้

 รักษาสิวด้วยตัวเอง

หากใครที่มีปัญหาสิวที่ไม่รุนแรงมากนัก ก็สามารถทำการรักษาด้วยตนเองได้ โดยวิธีรักษาสิวด้วยตนเองนั้นก็มีอยู่ด้วยกันหลายวิธี ซึ่งได้แก่

  • การใช้ยาแต้มสิว : วิธีรักษาสิว ด้วยการใช้ ยาทาสิว หรือยาแต้มสิวนั้น เป็นวิธีที่หลายคนนิยมทำมากที่สุด เพราะเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจนและเป็นวิธีที่ง่าย อีกทั้ง ยาทาสิว ยังหาซื้อได้ง่ายตามร้านขายยาทั่วไป สามารถแต้มสิวได้ 2 ชนิด คือ สิวอุดตัน และสิวอักเสบ โดยแบ่งกลุ่มยาออกตามชนิดของสิว คือ
  1. สิวอุดตัน : จะใช้ยา Benzoyl peroxide, Salicylic acid, Retinoids ที่มีฤทธิ์ในการลดการอุดตันของรูขุมขน ยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย และกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว
  2. สิวอักเสบ : จะใช้ยา Benzoyl peroxide, Antibiotics, Azelaic acid ที่ออกฤทธิ์ในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย และลดการอักเสบ
  • การผลัดเซลล์ผิว : การผลัดเซลล์ผิว คือ กระบวนการกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปเพื่อเผยผิวใหม่ที่สดใส underneath โดยปกติแล้ว ร่างกายของเราจะผลัดเซลล์ผิวตามธรรมชาติอยู่แล้ว  แต่สำหรับคนที่มีปัญหาสิว เซลล์ผิวที่ตายแล้วอาจสะสมอยู่บนผิว ทำให้รูขุมขนอุดตัน เกิดการอักเสบ และเป็นสิวได้ โดยวิธีการผลัดเซลล์ผิวนั้นเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสิวอุดตัน  โดยการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA, BHA หรือ Retinoid
  • การทานวิตามิน เช่น ซิงค์ : การทานวิตามินเป็นตัวเลือกหนึ่งที่ช่วยรักษาสิวได้ ควบคู่กับการดูแลผิวอย่างถูกวิธี โดยวิตามินที่แนะนำ ได้แก่ ซิงค์ (Zinc), วิตามินเอ, วิตามินบี3, วิตามินอี และวิตามินซี มีส่วนช่วยในการควบคุมการผลิตน้ำมัน ลดการอักเสบ ทำให้ผิวชุ่มชื้น และลดรอยแดง รอยดำจากสิว
  • หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ก่อให้เกิดสิว : เช่น เครื่องสำอางหรือสกินแคร์บางชนิด ที่เป็นส่วนสำคัญที่ทำเกิดสิวอุดตันได้
  • การทานยาคุม : ยาคุมกำเนิดหลายชนิด ประกอบด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสติน โดยฮอร์โมนเอสโตรเจนจะช่วยยับยั้งการผลิตฮอร์โมนแอนโดรเจน จึงอาจช่วยควบคุมระดับฮอร์โมนในร่างกาย ป้องกันไม่ให้ต่อมไขมันสร้างไขมันมากเกินไป ส่งผลทำให้สิวลดลง หรือไม่เกิดสิวใหม่ แต่อย่างไรก็ตาม การทานยาคุมเพื่อลดสิวนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อน เนื่องจากยาคุมแต่ละชนิดมีส่วนประกอบของฮอร์โมนที่แตกต่างกัน

 ข้อสรุป

ทั้งหมดนี้คือ 5 วิธีรักษาสิว ที่มีประสิทธิภาพและช่วยป้องกันไม่ให้สิวกลับมาเกิดขึ้นได้อีก เพียงเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิว หรือเข้าปรึกษากับแพทย์ผิวหนังโดยตรง เพื่อให้แพทย์ได้พิจารณาแนวทางการรักษาสิวที่เหมาะสมกับสภาพผิวของเรามากที่สุด