สาเหตุของหลุมสิว

ไขข้อข้องใจ การรักษาหลุมสิวทำอย่างไรให้ได้ผล

หากพูดถึงปัญหาผิวที่หลายคนกลัวกันมากที่สุด ก็คงหนีไม่พ้น “หลุมสิว” ที่เป็นปัญหาสุดหนักใจของหนุ่มๆ สาวๆ เพราะหลุมสิวนั้นเรียกได้ว่ารักษายากกว่าสิวหลายเท่า ยิ่งสิวมีความรุนแรงมากเท่าไหร่ หลุมสิวที่ตามมาก็จะมีความลึกมากเท่านั้น จะใช้เมคอัพกลบก็ไม่เนียน หาวิธีรักษาเท่าไหร่ก็ไม่หาย เพราะต้องอาศัยเวลาที่นานมากเลยทีเดียว หากใครที่เผชิญปัญหานี้อยู่ วันนี้เราได้รวบรวมวิธีการรักษาหลุมสิวให้ได้ผล รวมถึงวิธีป้องกันและวิธีปฏิบัติในช่วงรักษาหลุมสิว เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น


หลุมสิวเกิดจากอะไร

หลุมสิว หรือ Atrophic Scars เกิดมาจากเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายจากการเป็นสิวอุดตันหรือสิวอักเสบ ถึงแม้ร่างกายจะผลิตเนื้อเยื่อขึ้นมาทดแทนได้ แต่ก็ไม่ได้มีปริมาณเท่าเดิม จึงทำให้ผิวบริเวณนั้นดูขรุขระ เป็นหลุม ผิวหน้าไม่เรียบเนียน 

หากเราเป็นสิวอักเสบหรือสิวอุดตันทั่วๆ ไป เมื่อสิวหาย ก็จะทิ้งเพียงแค่รอยดำรอยแดง ซึ่งรอยเหล่านี้จะสามารถจางลงไปได้เอง แต่ถ้าเป็นสิวอักเสบชนิดรุนแรง ผลที่ตามมาคือ หลังสิวหาย จะทำให้เกิดแผลเป็นและหลุมสิวตามมา ซึ่งมีลักษะเป็นรอยบุ๋มและมีความขรุขระ ขึ้นอยู่กับขนาดของสิวที่เป็น

หลุมสิว

สิวแบบไหนที่ทำให้กลายเป็นหลุมสิว

สิวที่มีส่วนทำให้ทิ้งรอย และเกิดหลุมสิวได้มากที่สุด จะเป็นสิวอักเสบที่มีขนาดใหญ่ มีการอักเสบอย่างรุนแรง โดยมีการอักเสบเป็นบริเวณกว้าง หรือลึกลงไปจนถึงผิวหนังชั้นแท้ เมื่อหายแล้วก็จะทิ้งรอยหลุมสิวได้อย่างชัดเจน โดยสิวชนิดนั้นได้แก่ สิวหัวช้าง และสิวซีสต์


ประเภทของหลุมสิว

โดยปกติแล้ว หลุมสิวสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท ซึ่งจำแนกออกตามระดับความรุนแรงของหลุมสิว ได้แก่

  1. Rolling scar : เป็นหลุมสิวที่มีระดับความรุนแรงน้อยที่สุด มักพบได้มากในบริเวณช่วงล่างของแก้มและกราม มีลักษณะเป็นคลื่นๆ ไม่ลึกลงไปเป็นหลุม ถือเป็นหลุมสิวที่รักษาได้ง่ายที่สุด
  2. Boxcar scar : เป็นหลุมสิวที่มีระดับความรุนแรงปานกลาง มักพบได้มากในบริเวณช่วงล่างของแก้มและกรามเช่นเดียวกัน แต่จะสามารถมองเห็นขอบของหลุมสิวได้อย่างชัดเจนมากกว่า
  3. Ice pick scar : เป็นหลุมสิวที่มีระดับความรุนแรงมากที่สุด โดยจะมีลักษณะเป็นหลุมแบบก้นแคบ มีความลึก สามารถพบได้มากในบริเวณหน้าผากและช่วงบนของแก้ม ถือเป็นหลุมสิวที่มีการรักษาได้ยากมากที่สุด
ประเภทหลุมสิว

วิธีการรักษาหลุมสิว

การรักษาหลุมสิว ทางที่ดีที่สุดคือ จะต้องรักษากับแพทย์ผิวหนังโดยเฉพาะ ด้วยการใช้เครื่องเลเซอร์หลุมสิว การรักษาหลุมสิวด้วยเลเซอร์ถือเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาที่เห็นผลได้ดีและปลอดภัยสูง ซึ่งการรักษาหลุมสิวนั้นสามารถแบ่งออกตามประเภทของหลุมสิวได้ ดังนี้

  1. หลุมสิวแบบ rolling scar

หลุมสิวแบบ rolling scar เป็นหลุมสิวที่มีความรุนแรงน้อยที่สุด เพราะฉะนั้น วิธีรักษาที่เหมาะสมคือ การใช้เครื่องเลเซอร์ Fractional Laser แล้วเติมฟิลเลอร์เพื่อยกระดับหลุมสิวให้สูงและมีความเรียบเนียนสม่ำเสมอ 

  1. หลุมสิวแบบ Boxcar scar

หลุมสิวแบบ Boxcar scar เป็นหลุมสิวที่มีความรุนแรงระดับปานกลาง แต่ก็มีขนาดของหลุมสิวที่กล้างและลึก จึงแนะนำให้รักษาด้วย เลเซอร์หลุมสิว อย่าง Fractional Laser ควบคู่ไปกับการทำ TCA CROSS จะให้ประสิทธิภาพในการรักษาที่ดียิ่งขึ้น

  1. หลุมสิวแบบ ice pick scar

หลุมสิวแบบ ice pick scar เป็นหลุมสิวที่มีระดับความรุนแรงมากที่สุด ดังนั้น จึงต้องมีการรักษาอบ่างเฉพาะจุดด้วย TCA CROSS หรือใช้เครื่องเลเซอร์ Fractional Laser รักษาควบคู่กัน แต่จะต้องใช้เวลาในการรักษานานกว่าหลุมสิวแบบอื่นๆ

เลเซอร์รักษาหลุมสิว

วิธีป้องกันไม่ให้เกิดหลุมสิว

หลุมสิว เรียกได้ว่าเป็นผลกระทบที่มาจากการเกิดสิว ซึ่งถ้าหากต้องการป้องกัน ควรเริ่มป้องกันตั้งแต่ช่วงที่เป็นสิว ด้วยการรักษาสิวอย่างถูกวิธี เพื่อให้สิวหายเร็วและไม่ทิ้งหลุมสิวที่รุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นสิวอักเสบ เนื้อเยื่อบริเวณสิวจะถูกทำลายอย่างหนัก ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือการรักษาสิวให้หายอย่างปลอดภัย และหลีกเลี่ยงปัจจัยต่างๆ ที่จะส่งผลให้เกิดสิวเพิ่มมากขึ้น


การปฎิบัติตัวในช่วงรักษาหลุมสิว

ในช่วงที่กำลังรักษาหลุมสิวอยู่ ควรปฏิตัวดังนี้

  • หลีกเลี่ยงการบีบ กด แกะสิว หรือสัมผัสใบหน้าบ่อยๆ งดเว้นการสครับหน้าหรือการผลัดเซลล์ผิว
  • หลีกเลี่ยงการออกไปเผชิญมลภาวะ ฝุ่น ควัน เพราะจะทำให้สิ่งสกปรกและแบคทีเรียเข้ามาอุดตันรูขุมขนเพิ่มขึ้นได้
  • งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ และสูบบุหรี่
  • ควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวและบำรุงผิวที่อ่อนโยน หรือตามที่แพทย์แนะนำ
ห้ามบีบสิว

การรักษาหลุมสิวรักษาด้วยตัวเองได้ไหม

ปัจจุบัน ยังไม่มียาตัวไหนที่สามารถใช้รักษาหลุมสิวได้ แต่จะมียาบางชนิด เช่น ยาในกลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอ ที่สามารถกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว อาจจะทำให้หลุมสิวดูตื้นขึ้นมาได้ แต่จะใช้ได้เฉพาะหลุมสิวประเภท rolling scar เท่านั้น หากมีระดับความรุนแรงมากกว่านี้จะไม่สามารถใช้รักษาได้ ดังนั้น การรักษาหลุมสิวที่มีประสิทธืภาพมากที่สุด คือการรักษากับแพทย์ผิวหนังโดยเฉพาะ


การรักษาหลุมสิวใช้เวลานานแค่ไหน

การรักษาหลุมสิว ถือว่าใช้เวลานานกว่าจะหายไปได้อย่างถาวร เพราะถ้าหากไม่รักษาด้วยหัตถการ ก็จะไม่สามารถหายไปได้เอง โดยปกติแล้วการรักษาหลุมสิวจะใช้เวลาอยู่ที่ 4-6 เดือน หรือในบางรายจะเวลามากถึง 1 ปี ดังนั้นการป้องกันไม่ให้เกิดหลุมสิวตั้งแต่แรกจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก


ข้อสรุป

เรียกได้ว่าหลุมสิว เป็นปัญหาผิวที่มีการรักษาได้ยากกว่าสิวหลายเท่าตัว เพราะถ้าหากไม่รีบรักษาสิวให้หายดี ก็อาจจะทำให้เนื้อเยื่อถูกทำลายหนักขึ้น และส่งผลให้เกิดหลุมสิวที่รุนแรงได้ ดังนั้น การรักษาสิวและหลุมสิวอย่างถูกวิธีจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ควรให้แพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ประเมินสภาพหลุมสิวและเลือกวิธีการรักษาอย่างเหมาะสมจึงจะให้ผลลัพธ์ออกมาปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากที่สุด