เซ็บเดิร์มรักษาอย่างไร

โรคเซ็บเดิร์ม (Seborrheic Dermatitis): สาเหตุ อาการ และวิธีดูแลผิวหนังอย่างถูกวิธี

โรคเซ็บเดิร์ม (Seborrheic Dermatitis) เป็นปัญหาผิวหนังที่หลายคนอาจไม่ค่อยคุ้นชื่อ แต่เชื่อว่ามีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่ต้องเผชิญกับอาการคัน แดง ลอกเป็นขุย โดยเฉพาะบริเวณที่มีต่อมไขมันเยอะ เช่น หนังศีรษะ ใบหน้า หรือแม้แต่หน้าอก หลายคนอาจเข้าใจผิดคิดว่าเป็นแค่รังแคหรือผิวแห้งธรรมดา แต่จริงๆ แล้วโรคนี้มีความซับซ้อนกว่านั้น

วันนี้เราจะพาคุณไปเจาะลึกว่า โรคเซ็บเดิร์มคืออะไร เกิดจากอะไร อาการเป็นแบบไหน มีวิธีลดอาการคันจากเซ็บเดิร์มได้ไหม และควรดูแลผิวหนังอย่างไรให้ถูกต้อง เพื่อให้คุณสามารถจัดการกับปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 โรคเซ็บเดิร์ม คืออะไร

โรคเซ็บเดิร์ม (Seborrheic Dermatitis) เป็นโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังที่ทำให้เกิดผื่นแดง คัน และลอกเป็นขุย มักพบในบริเวณที่มีต่อมไขมันอยู่มาก เช่น หนังศีรษะ ใบหน้า (โดยเฉพาะข้างจมูก คิ้ว และไรผม) หลังหู หน้าอก หรือแม้แต่ร่องจมูก

หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าเป็นแค่รังแคเรื้อรังหรือผิวแห้งทั่วไป แต่จริงๆ แล้วเซ็บเดิร์มเป็นภาวะที่ซับซ้อนกว่านั้น อาการอาจเป็นๆ หายๆ และมักกำเริบขึ้นมาเมื่อเจอปัจจัยกระตุ้น เช่น ความเครียด อากาศเปลี่ยนแปลง หรือการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะกับผิว

แม้ว่าโรคเซ็บเดิร์มจะไม่ใช่โรคติดต่อและไม่ได้เป็นอันตรายร้ายแรง แต่ก็สร้างความรำคาญและส่งผลต่อความมั่นใจของผู้ที่เป็นไม่น้อย เพราะฉะนั้น การเข้าใจโรคนี้ให้ดีจะช่วยให้สามารถรับมือและดูแลผิวหนังได้อย่างถูกต้องมากขึ้น

 สาเหตุของโรคเซ็บเดิร์ม

โรคเซ็บเดิร์มไม่ได้เกิดขึ้นมาจากสาเหตุเดียว แต่เป็นผลมาจากหลายปัจจัยที่ทำให้ผิวหนังเกิดการอักเสบและลอกเป็นขุย ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อกันและทำให้อาการของโรคเป็นๆ หายๆ ได้ง่าย มาดูกันว่าเซ็บเดิร์มเกิดจากอะไร และสาเหตุหลักๆ ของโรคนี้มีอะไรบ้าง

การทำงานผิดปกติของต่อมไขมัน

ต่อมไขมันมีหน้าที่ผลิตซีบัม (Sebum) หรือไขมันธรรมชาติที่ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น แต่สำหรับบางคน ต่อมไขมันอาจทำงานผิดปกติ ผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป ทำให้เกิดความมันส่วนเกินบนผิวหนัง ซึ่งเป็นสภาวะที่กระตุ้นให้เกิดการอักเสบและลอกเป็นขุยได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะบริเวณที่มีต่อมไขมันหนาแน่น เช่น หนังศีรษะ ใบหน้า และหน้าอก

การเติบโตของเชื้อราบนผิวหนัง

บนผิวหนังของทุกคนมีจุลินทรีย์อาศัยอยู่ หนึ่งในนั้นคือเชื้อรา Malassezia ซึ่งเป็นเชื้อราประเภทหนึ่งที่พบได้ตามธรรมชาติ แต่ในบางคน เชื้อนี้อาจเติบโตมากเกินไปเมื่อมีความมันบนผิวหนังมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้เกิดการระคายเคืองและอักเสบ ผิวหนังจึงเกิดอาการคันและลอกเป็นขุยได้

ปัจจัยทางพันธุกรรม

หากคนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคเซ็บเดิร์มหรือโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังอื่นๆ เช่น โรคสะเก็ดเงิน หรือโรคภูมิแพ้ผิวหนัง ก็มีโอกาสสูงที่เราเองอาจได้รับการถ่ายทอดพันธุกรรมมา ทำให้ผิวมีแนวโน้มไวต่อการอักเสบและเกิดอาการเซ็บเดิร์มได้ง่ายกว่าคนทั่วไป

ปัจจัยกระตุ้น

แม้ว่าเซ็บเดิร์มจะเกิดจากภายในร่างกายเป็นหลัก แต่ก็มีปัจจัยภายนอกหลายอย่างที่กระตุ้นให้อาการเซ็บเดิร์มกำเริบหรือรุนแรงขึ้น เช่น

  • ความเครียด – ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ผิวอักเสบได้ง่ายขึ้น
  • สภาพอากาศ – อากาศแห้ง หนาว หรืออากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย  อาจทำให้ผิวแห้งและกระตุ้นให้เกิดอาการเซ็บเดิร์ม
  • การใช้ผลิตภัณฑ์ไม่เหมาะสม – เช่น แชมพู สบู่ หรือครีมที่มีสารระคายเคือง อาจทำให้ผิวหนังแห้งหรือเกิดการระคายเคืองได้ง่าย
  • ฮอร์โมนและระบบภูมิคุ้มกัน – คนที่มีภาวะภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ป่วย HIV หรือผู้ที่มีภาวะเครียดเรื้อรัง มักมีโอกาสเป็นโรคเซ็บเดิร์มได้มากกว่าคนทั่วไป

 โรคเซ็บเดิร์มมีอาการอย่างไร

อาการของผิวหนังอักเสบเซ็บเดิร์มอาจดูคล้ายกับปัญหาผิวหนังทั่วไป เช่น รังแค หรือผิวแห้ง แต่จริงๆ แล้วมีความแตกต่างและรุนแรงกว่า โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญกับปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้อาการกำเริบ มาดูกันว่าอาการที่พบบ่อยมีอะไรบ้าง

หนังศีรษะลอกเป็นขุย

หนึ่งในอาการที่พบได้มากที่สุดคือหนังศีรษะลอกเป็นขุย หรือที่หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นรังแคเรื้อรัง แต่ขุยของเซ็บเดิร์มมักมีลักษณะเป็นแผ่นขุยขนาดใหญ่ สีขาวหรือเหลือง และอาจมีผิวแดงอักเสบร่วมด้วย อาการนี้อาจทำให้คันศีรษะมากขึ้น และหากเกาแรงๆ อาจทำให้เกิดการอักเสบหรือเป็นแผลได้

ผิวหนังแดงและมัน

บริเวณที่มีต่อมไขมันเยอะ เช่น ข้างจมูก คิ้ว ไรผม และหลังหู มักเป็นจุดที่เซ็บเดิร์มเล่นงานอยู่บ่อยๆ อาการที่สังเกตได้ชัดคือผิวหนังแดง มีลักษณะมันเยิ้ม และลอกเป็นขุย ซึ่งต่างจากอาการผิวแห้งทั่วไปที่มักไม่มีความมันร่วมด้วย  

ในบางกรณี ผิวหนังอาจมีอาการแสบหรือคันร่วมด้วย โดยเฉพาะเมื่อสัมผัสกับอากาศเย็นหรือหลังจากล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีสารระคายเคือง

ผื่นบริเวณหน้าอกและหลัง

เซ็บเดิร์มไม่ได้เกิดแค่บนใบหน้าหรือหนังศีรษะเท่านั้น แต่ยังพบได้ที่บริเวณหน้าอก แผ่นหลัง และร่องหน้าอก ซึ่งเป็นจุดที่มีต่อมไขมันเยอะ ผื่นมักมีลักษณะแดง ลอกเป็นขุย และบางครั้งอาจคันมาก โดยเฉพาะในช่วงที่เหงื่อออกมาก หรือใส่เสื้อผ้าที่อับชื้น

อาการแย่ลงในช่วงฤดูหนาว

อากาศเย็นและแห้งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้อาการเซ็บเดิร์มรุนแรงขึ้น จนหลายคนสังเกตได้เลยว่าช่วงหน้าหนาว ผิวจะแห้ง แดง และลอกมากขึ้นกว่าปกติ เพราะความชื้นในอากาศลดลง ทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้น นอกจากนี้ การอาบน้ำอุ่นหรือน้ำร้อนก็อาจยิ่งทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นและกระตุ้นให้อาการแย่ลงได้ด้วย

  วิธีดูแลผิวหนังสำหรับคนที่เป็นโรคเซ็บเดิร์ม

โรคเซ็บเดิร์มแม้จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมอาการได้ด้วยการดูแลผิวให้เหมาะสม หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าแค่ทายาหรือใช้แชมพูรักษาก็เพียงพอ แต่จริงๆ แล้วการดูแลผิวอย่างถูกวิธีในชีวิตประจำวัน และการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ก็มีผลต่ออาการของโรคนี้เช่นกัน เรามาดูกันว่าควรดูแลตัวเองอย่างไร

การดูแลผิวในชีวิตประจำวัน

การดูแลผิวที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนที่เป็นโรคเซ็บเดิร์ม เพราะการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสมหรือการล้างหน้าผิดวิธีอาจทำให้อาการแย่ลงได้

  • เลือกผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน : ควรใช้สบู่หรือโฟมล้างหน้าสูตรอ่อนโยน ปราศจากน้ำหอม แอลกอฮอล์ และสารระคายเคือง เพื่อไม่ให้ผิวอักเสบมากขึ้น
  • ให้ความชุ่มชื้นกับผิว : แม้ว่าผิวจะมัน แต่ก็ยังต้องการความชุ่มชื้น ควรเลือกมอยส์เจอไรเซอร์ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมันหนักๆ (Oil-Free) และช่วยเสริมเกราะป้องกันผิว
  • ล้างหน้าและอาบน้ำด้วยน้ำอุณหภูมิห้อง : หลีกเลี่ยงการใช้น้ำร้อน เพราะจะทำให้ผิวแห้งและระคายเคืองมากขึ้น
  • ใช้แชมพูที่มีตัวยารักษา : สำหรับคนที่เป็นเซ็บเดิร์มที่หนังศีรษะ ควรใช้แชมพูที่มีส่วนผสมของ Ketoconazole, Zinc Pyrithione หรือ Salicylic Acid ซึ่งเป็นวิธีลดอาการคันจากเซ็บเดิร์มและช่วยควบคุมเชื้อราบนหนังศีรษะ

การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์

นอกจากการดูแลผิวแล้ว การใช้ชีวิตประจำวันก็มีผลต่ออาการของโรคเซ็บเดิร์มเช่นกัน การปรับพฤติกรรมบางอย่างจึงสามารถช่วยลดอาการเซ็บเดิร์มและป้องกันการกำเริบได้

  • พักผ่อนให้เพียงพอ : การนอนหลับที่ดีช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมตัวเอง และช่วยลดความเครียดซึ่งเป็นปัจจัยกระตุ้นของเซ็บเดิร์ม
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ : ลดอาหารมัน อาหารแปรรูป และน้ำตาลสูง เพราะอาจกระตุ้นให้ผิวมันมากขึ้น ควรเพิ่มอาหารที่มีโอเมก้า 3 วิตามิน B และสารต้านอนุมูลอิสระ เพื่อช่วยให้ผิวแข็งแรง
  • จัดการความเครียดอย่างเหมาะสม : ความเครียดเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้อาการเซ็บเดิร์มกำเริบได้ง่ายขึ้น ควรหากิจกรรมผ่อนคลาย เช่น ออกกำลังกายเบาๆ นั่งสมาธิ หรือเล่นโยคะ
  • เลี่ยงสภาพอากาศที่ทำให้อาการแย่ลง : อากาศแห้งหรือเย็นจัดอาจทำให้ผิวลอกมากขึ้น หากเลี่ยงไม่ได้ควรเพิ่มความชื้นภายในห้อง หรือใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่ให้ความชุ่มชื้นสูง

 วิธีการรักษาโรคเซ็บเดิร์ม

สำหรับวิธีรักษาเซ็บเดิร์ม บางคนอาจใช้ยาเพื่อช่วยลดอาการ ขณะที่บางคนเลือกใช้วิธีธรรมชาติ หรือหากอาการรุนแรง การปรึกษาแพทย์ก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เรามาดูกันว่าแต่ละวิธีมีอะไรบ้าง

การใช้ยาแบบเฉพาะ

การใช้ยาถือเป็นวิธีรักษาเซ็บเดิร์มที่มาเป็นอันดับแรก โดยยาที่นิยมใช้มีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ เช่น

  • แชมพูและยาทาภายนอก
  • แชมพูขจัดรังแคที่มีตัวยา Ketoconazole, Zinc Pyrithione, Selenium Sulfide หรือ Salicylic Acid เหมาะสำหรับผู้ที่มีเซ็บเดิร์มบริเวณหนังศีรษะ
  • ยาทาสเตียรอยด์ชนิดอ่อน (Hydrocortisone, Clobetasol) ใช้เพื่อลดการอักเสบและอาการคัน แต่อย่าใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะอาจทำให้ผิวบางได้
  • ยาต้านเชื้อรา (Ketoconazole Cream หรือ Ciclopirox) ใช้ในกรณีที่มีการเจริญเติบโตของเชื้อรา Malassezia มากเกินไป
  • ยารับประทาน

ในกรณีที่อาการรุนแรง แพทย์อาจสั่งยาต้านเชื้อราแบบรับประทาน เช่น Fluconazole หรือ Itraconazole รวมถึงยาต้านอักเสบ (Antihistamines) ที่ช่วยลดอาการคันและระคายเคือง

การรักษาแบบธรรมชาติ

นอกจากการใช้ยาแล้ว การรักษาแบบธรรมชาติก็เป็นอีกทางเลือกที่ช่วยลดอาการของโรคเซ็บเดิร์มได้โดยไม่ต้องพึ่งสารเคมี เช่น

  • น้ำมันทีทรี (Tea Tree Oil) มีฤทธิ์ต้านเชื้อราและลดการอักเสบ สามารถผสมน้ำมันมะพร้าวแล้วทาบริเวณที่เป็นเซ็บเดิร์มได้
  • น้ำมันมะพร้าว ช่วยให้ความชุ่มชื้นและลดอาการแห้งลอกของผิว
  • ว่านหางจระเข้ ช่วยปลอบประโลมผิว ลดอาการแดงและระคายเคือง
  • น้ำผึ้งดิบ (Raw Honey) มีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา สามารถใช้พอกหน้าหรือผิวที่เป็นเซ็บเดิร์มได้
  • ลดอาหารกระตุ้น หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง น้ำตาล และอาหารแปรรูป ช่วยลดการอักเสบของผิวได้

ปรึกษาแพทย์ผิวหนัง

หากลองดูแลตัวเองแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น หรือมีอาการรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม เช่น มีผื่นแดงมาก คันจนรบกวนชีวิตประจำวัน หรือเกิดการติดเชื้อ ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังทันทีเพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสม

ข้อสรุป

โรคเซ็บเดิร์มอาจเป็นปัญหากวนใจที่ส่งผลต่อทั้งร่างกายและจิตใจ แม้จะไม่ใช่โรคอันตราย แต่ก็สร้างความรำคาญและกระทบต่อความมั่นใจได้ อย่างไรก็ตาม หากเรารู้จักสาเหตุ อาการ และวิธีดูแลผิวที่เหมาะสม ก็สามารถควบคุมอาการได้ การดูแลผิวให้ถูกต้อง หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น และเลือกวิธีรักษาเซ็บเดิร์มที่เหมาะกับตัวเอง จะช่วยให้อาการดีขึ้นได้ และแม้ว่าเซ็บเดิร์มจะเป็นโรคที่อาจกลับมาเป็นซ้ำ แต่หากเราดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่อง ก็สามารถลดความรุนแรงและความถี่ของอาการได้

สุดท้ายแล้ว การรู้จักผิวของตัวเองให้ดี คือสิ่งสำคัญในการจัดการกับโรคนี้ เพราะไม่มีวิธีไหนที่ได้ผลเหมือนกันทุกคน การทดลองปรับเปลี่ยนการดูแลตัวเองและเลือกแนวทางที่เหมาะสมกับผิวของเราคือสิ่งที่จะช่วยให้เราควบคุมอาการของโรคเซ็บเดิร์มได้ดีที่สุด