กำจัดไฝ ขี้แมลงวันด้วย CO2 laser

เจาะลึก CO2 Laser คืออะไร ช่วยรักษาปัญหาผิว กำจัดไฝ ขี้แมลงวัน ติ่งเนื้อ

Contents hide

Co2 Laser หนึ่งในเทคโนโลยีเลเซอร์ที่หลายคนพูดถึงมากที่สุด เพราะจุดเด่นที่ทำให้เครื่องเลเซอร์ชนิดนี้ไม่เหมือนเครื่องเลเซอร์แบบอื่น ๆ ก็คือสามารถรักษาปัญหาผิวได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการเลเซอร์กำจัดติ่งเนื้อ ไฝ ขี้แมลงวัน หรือแม้แต่การรักษาริ้วรอยและแผลเป็น ที่ให้ประสิทธิภาพสูงและมีความแม่นยำมากกว่าการรักษาด้วยวิธีแบบเก่า จึงทำให้กลายเป็นเทคโนโลยีเลเซอร์ที่ได้รับความนิยมในวงการความงามและการแพทย์ผิวหนัง

ในบทความนี้จึงจะพาไปเจาะลึกว่า Co2 Laser คืออะไร ใช้รักษาอะไรได้บ้าง รวมไปถึงขั้นตอนการดูแลตัวเองทั้งก่อนและหลังการเลเซอร์

CO2 Laser คืออะไร

Co2 Laser คืออะไร Co2 Laser ย่อมาจาก Carbon Dioxide Laser เป็นเลเซอร์ชนิดหนึ่งที่ใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในการสร้างลำแสงเลเซอร์พลังงานสูง สามารถเจาะจงไปที่เซลล์ผิวเฉพาะจุด โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อรอบข้าง สามารถปรับระดับความลึกของพลังงานได้อย่างแม่นยำ จึงเหมาะสำหรับการรักษาปัญหาผิวที่หลากหลาย ช่วยในการเผาผลาญเนื้อเยื่อเก่าที่เป็นปัญหาและกระตุ้นการสร้างผิวใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ Co2 Laser จึงถูกนิยมนำมาใช้ในการเลเซอร์กำจัดติ่งเนื้อ ไฝ ขี้แมลงวัน

หลักการทำงานของ CO2 Laser

Co2 Laser ทำงานโดยการใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่เป็นแหล่งสร้างลำแสงเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่นในช่วง 10,600 นาโนเมตร ซึ่งเป็นช่วงความยาวคลื่นที่สามารถดูดซับน้ำได้ดี เนื่องจากเซลล์ในร่างกายมนุษย์มีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก ลำแสงเลเซอร์จะถูกดูดซับโดยน้ำในเซลล์ผิวหนังและเปลี่ยนเป็นความร้อน ส่งผลให้เนื้อเยื่อในบริเวณที่ทำการรักษาเกิดการระเหยหรือเผาไหม้ไปได้อย่างแม่นยำ

โดยขั้นตอนการทำงานของ Co2 Laser จะมี 4 ลำดับขั้น ดังนี้

  1. ปล่อยลำแสงเลเซอร์พลังงานสูง : ลำแสง Co2 Laser จะถูกปล่อยออกมาเป็นลำแสงที่ละเอียดและมีความแม่นยำสูง สามารถกำหนดความลึกและขนาดของบริเวณที่ต้องการรักษาได้
  2. การระเหยเนื้อเยื่อ (Ablation) : เมื่อลำแสงเลเซอร์ถูกยิงลงไปที่ผิวหนัง มันจะทำให้เนื้อเยื่อที่มีปัญหา เช่น การเลเซอร์ขี้แมลงวัน ไฝ หรือเซลล์ที่เสื่อมสภาพ ระเหยออกไปในทันที
  3. การตัดเนื้อเยื่อ : นอกจากการระเหยแล้ว Co2 Laser ยังสามารถใช้ตัดเนื้อเยื่อบาง ๆ เช่น ติ่งเนื้อ ได้อย่างแม่นยำอีกด้วย 
  4. การกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ : หลังจากการกำจัดเนื้อเยื่อเก่าออกไป เลเซอร์จะกระตุ้นให้เกิดการสร้างเซลล์ผิวใหม่ที่แข็งแรงและเรียบเนียนมากกว่าเดิม

CO2 Laser ใช้รักษาอะไรได้บ้าง

Co2 Laser ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งนวัตกรรมที่ทรงประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาผิวพรรณที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นริ้วรอย หลุมสิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ ติ่งเนื้อ ไฝ ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและรวดเร็ว มาดูกันว่า Co2 Laser จะใช้เลเซอร์รักษาปัญหาผิวหน้าแบบไหนได้บ้าง  

การรักษาริ้วรอยและความหย่อนคล้อยของผิว

Co2 Laser มีประสิทธิภาพในการลดเลือนริ้วรอยและแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ด้วยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ส่งผลให้ผิวหน้าตึงกระชับ ริ้วรอยลดลง และผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้น จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวเสื่อมสภาพจากอายุที่เพิ่มขึ้น

การรักษาหลุมสิวและแผลเป็น

สำหรับผู้ที่มีปัญหาหลุมสิวและรอยแผลเป็น Co2 Laser สามารถช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ในบริเวณที่มีหลุมสิวหรือแผลเป็น ช่วยปรับพื้นผิวให้เรียบเนียนขึ้น โดยแสงเลเซอร์จะทำการลบเลือนเนื้อเยื่อที่เป็นแผลเก่าออกไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่งผลให้รอยแผลเป็นจางลง เผยผิวใหม่ที่เรียบเนียนและกระจ่างใส

การรักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ

Co2 Laser ช่วยในการลดเลือนฝ้า กระ และจุดด่างดำ โดยการกำจัดเซลล์ผิวที่มีการสะสมเมลานินมากเกินปกติ ส่งผลให้ผิวมีสีที่สม่ำเสมอขึ้น นอกจากนี้เลเซอร์ยังช่วยในการฟื้นฟูผิวที่ถูกทำร้ายจากแสงแดด ทำให้ผิวหน้าดูกระจ่างใสกว่าเดิม

การกำจัดติ่งเนื้อและไฝ

CO2 Laser โดดเด่นในเรื่องของการเลเซอร์กำจัดติ่งเนื้อ ไฝ ขี้แมลงวัน ด้วยการเผาผลาญเนื้อเยื่อในบริเวณนั้นโดยตรง ทำให้ติ่งเนื้อและไฝหลุดออกไปในระยะเวลาอันสั้น และยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดแผลเป็นอีกด้วย

การรักษารอยแตกลาย

นอกจากการเลเซอร์กำจัดไฝ ขี้แมลงวันแล้ว Co2 Laser ยังถูกนำมาใช้ในการรักษารอยแตกลาย (Stretch Marks) ที่เกิดจากการยืดขยายของผิวหนัง เช่น ในช่วงหลังคลอด ซึ่งรอยแตกลายนั้นเกิดจากการทำลายโครงสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง การเลเซอร์ด้วยเครื่อง CO2 จึงช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่และทำให้รอยแตกลายดูจางลง

ใครบ้างที่เหมาะสมกับการรักษาด้วย CO2 Laser ?

Co2 Laser เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์ที่มีประสิทธิภาพในการรักษาปัญหาผิวหลายประเภท ซึ่งมีความปลอดภัยและเหมาะสมสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวต่าง ๆ ต่อไปนี้

ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยและความหย่อนคล้อยของผิว

ผู้ที่เริ่มมีริ้วรอยแห่งวัยหรือผิวหน้าหย่อนคล้อยเนื่องจากอายุที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเกิดจากการสูญเสียคอลลาเจนใต้ผิวหนัง จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการรักษาด้วย Co2 Laser เพราะเลเซอร์สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ช่วยให้ผิวดูเต่งตึงและกระชับขึ้น

ผู้ที่มีหลุมสิวหรือแผลเป็น

สำหรับผู้ที่มีหลุมสิวที่ทำให้พื้นผิวหน้าไม่เรียบเนียนหรือมีรอยแผลเป็นจากสิว Co2 Laser จะช่วยปรับผิวให้เรียบเนียนขึ้นและลบรอยแผลได้หากทำอย่างต่อเนื่อง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูสภาพผิวหน้าและลดเลือนรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว

ผู้ที่มีปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ

ผู้ที่มีปัญหาผิวหน้ามีจุดด่างดำหรือการสะสมของเม็ดสีมากกว่าปกติ เช่น ฝ้า กระ ซึ่งมักจะเกิดจากแสงแดดหรือการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน สามารถทำการเลเซอร์ด้วย Co2 Laser ได้ โดยจะช่วยลบเลือนจุดด่างดำได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยให้สีผิวดูสม่ำเสมอขึ้น

ผู้ที่ต้องการกำจัดติ่งเนื้อและไฝ

Co2 Laser เป็นเครื่องเลเซอร์ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเลเซอร์กำจัดติ่งเนื้อ ไฝ ขี้แมลงวัน หรือเนื้อเยื่อที่ผิดปกติอื่น ๆ บนผิวหนังมากที่สุด โดยสามารถกำจัดออกได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว โดยไม่ทำให้เกิดแผลเป็น

ข้อควรระวังในการใช้ CO2 Laser ในการรักษา

แม้ว่า Co2 Laser จะสามารถแก้ปัญหาผิวได้อย่างหลากหลาย แต่ก็ยังคงมีข้อควรระวังเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ดังนั้น ผู้ที่ต้องการรับการรักษาจึงควรทราบข้อมูลเกี่ยวกับการเตรียมตัวก่อนการ เลเซอร์รักษาปัญหาผิวหน้า และอาการข้างเคียงหลังการรักษา ดังนี้

การเตรียมตัวก่อนการรักษา

  • ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินสภาพผิวและปัญหาที่ต้องการรักษา และรับคำแนะนำในการปฏิบัติตัวก่อนและหลังการทำเลเซอร์กำจัดไฝ ขี้แมลงวัน
  • ควรหลีกเลี่ยงการตากแดดจัดหรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวไวต่อแสงอย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนการรักษา เพื่อป้องกันการเกิดรอยด่างหรือผลข้างเคียงอื่น ๆ 
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรด เช่น กรดวิตามินเอ (Retinoids) หรือกรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) ก่อนเข้ารับการรักษาตามคำแนะนำของแพทย์
  • ในวันทำเลเซอร์ ควรงดแต่งหน้าหรือทาครีมบำรุงผิวใด ๆ ก่อนเข้ารับการรักษาเพื่อให้การทำงานของเลเซอร์มีประสิทธิภาพสูงสุด

อาการข้างเคียงหลังการรักษา

  • หลังจากทำเลเซอร์อาจมีอาการแสบร้อน รอยแดง หรือบวมเล็กน้อย ซึ่งเป็นผลข้างเคียงปกติและจะหายไปในเวลาไม่กี่วัน
  • ผิวบริเวณที่ทำเลเซอร์อาจเริ่มลอกหลังจากการรักษา เนื่องจากผิวเก่าถูกทำลายและเริ่มกระบวนการสร้างผิวใหม่ ระหว่างนี้ควรหลีกเลี่ยงการแกะหรือเกาผิว และใช้ครีมบำรุงผิวที่แพทย์แนะนำ
  • เนื่องจาก Co2 Laser ทำให้ผิวหนังบางส่วนถูกทำลาย เช่น เลเซอร์ขี้แมลงวัน จึงมีความเสี่ยงเล็กน้อยต่อการติดเชื้อหากไม่รักษาความสะอาดหรือดูแลตามคำแนะนำของแพทย์ 
  • อาจเสี่ยงต่อการเกิดแผลเป็นหรือรอยดำได้ ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดและทาครีมกันแดดเป็นประจำ

การดูแลตัวเองหลังการรักษาด้วย CO2 Laser

หลังจากการรักษาด้วย Co2 Laser ผิวจะเริ่มทำการฟื้นฟูตัวเอง การดูแลผิวหลังการรักษามีความสำคัญมาก เพราะจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ การเกิดรอยแผลเป็น และผลข้างเคียงอื่น ๆ โดยขั้นตอนการดูแลตัวเองหลังการทำเลเซอร์มีดังนี้

การป้องกันแสงแดด

การปกป้องผิวจากแสงแดดเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งหลังจากการทำ Co2 Laser เนื่องจากผิวที่ทำเลเซอร์จะอ่อนแอและไวต่อแสงมากกว่าปกติ ดังนั้น ควรใช้ครีมกันแดดที่มี SPF 30 ขึ้นไปเป็นประจำแม้จะอยู่ในที่ร่มก็ตาม เพื่อป้องกันรังสี UV ที่สามารถกระตุ้นการเกิดรอยด่างดำได้ หรือถ้าหากเป็นไปได้ ควรหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดโดยตรงในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกหลังการทำเลเซอร์ โดยเฉพาะช่วงที่ผิวยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่

การใช้ครีมบำรุงและมอยส์เจอร์ไรเซอร์

หลังจากการทำเลเซอร์ ผิวอาจรู้สึกแห้งและมีอาการตึง เนื่องจากการกำจัดเซลล์ผิวเก่าออกไป การใช้ครีมบำรุงและมอยส์เจอร์ไรเซอร์จึงมีความสำคัญในการช่วยฟื้นฟูผิวและเพิ่มความชุ่มชื้น ควรเลือกใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่มีความอ่อนโยน ปราศจากน้ำหอมและสารเคมีที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวและลดอาการแสบร้อนหรือผิวแห้งลอก

การใช้ยาทาฆ่าเชื้อในกรณีทำหัตถการจี้ไฝ กระเนื้อ

ในกรณีที่ทำการรักษาด้วย Co2 Laser เพื่อเลเซอร์กำจัดติ่งเนื้อ ไฝ ขี้แมลงวัน บริเวณที่ทำการรักษาอาจมีแผลเล็ก ๆ ซึ่งต้องดูแลเป็นพิเศษเพื่อป้องกันการติดเชื้อ โดยเฉพาะการทายาฆ่าเชื้อหรือยาปฏิชีวนะเฉพาะทางสำหรับทาในบริเวณที่ทำหัตถการ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ

 ข้อสรุป

Co2 Laser เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพในการเลเซอร์รักษาปัญหาผิวหน้า ได้อย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการเลเซอร์กำจัดติ่งเนื้อ ไฝ ขี้แมลงวัน ที่ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน ปลอดภัย และไม่ทำให้เกิดแผลเป็นหลังการรักษา แต่อย่างไรก็ตาม การทำ Co2 Laser ก็อาจมีผลข้างเคียงอยู่บ้าง ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้แพทย์พิจารณาวิธีการรักษาที่เหมาะสมและแนะนำข้อควรปฏิบัติทั้งก่อนและหลังการรักษาอย่างถูกต้อง